Sculptra เป็นนวัตกรรมการกระตุ้นคอลลาเจนที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย โดยถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้ามากับอายุที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอย ร่องลึก หรือปัญหารูขุมขน รวมถึงยังช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวมอีกด้วย
ในบทความนี้ Doctorlife Clinic จะช่วยอธิบายกลไกการทำงานของ Sculptra ตัวช่วยเผยผิวอ่อนเยาว์ รวมถึงความรู้เรื่องคอลลาเจนในร่างกาย ที่จะช่วยให้คุณรู้จักกับผิวของตัวเองมากขึ้น
Sculptra คืออะไร? เข้าใจที่มาของเทคโนโลยีที่ทำให้หน้าเด็กลง
Sculptra เป็นหนึ่งในวิธีการที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังมนุษย์ มีส่วนประกอบหลักคือ กรด PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ที่มีการค้นพบและถูกใช้ในวงการการแพทย์เนิ่นนาน
เดิมที PLLA มักใช้ในการผลิตไหมละลาย หรือไหมที่ใช้เย็บแผลผ่าตัด และถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในกระบวนการเสริมความงามครั้งแรกในปี 1999 โดยพบว่านอกจากจะช่วยสมานแผลแล้ว PLLA ยังมีสรรพคุณในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ซึ่งการใช้ PLLA ก็ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จนออกมาเป็น Sculptra ในปัจจุบัน
การฉีด Sculptra ได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลก ในฐานะตัวช่วยในการลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูผิวที่หย่อนคล้อยให้ดูเต่งตึง อ่อนวัย และดูสุขภาพดี
คอลลาเจนสำคัญต่อผิวอย่างไร ทำไมต้องหมั่นเติมคอลลาเจน?
คอลลาเจน (Collagen) คือ เส้นใยโปรตีนสายยาวที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น ผิวหนัง เส้นเอ็น และหลอดเลือด ล้วนแต่มีคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น โดยเฉพาะส่วนของผิวหนังที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากถึง 75%
คอลลาเจน ทำหน้าที่รักษาความยืดหยุ่นรวมถึงเสริมสร้างความแข็งแรงอวัยวะต่าง ๆ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการผลิตคอลลาเจนก็ย่อมลดลง ซึ่งเมื่อพูดถึงผิว ปริมาณคอลลาเจนที่น้อยลงเรื่อย ๆ ย่อมมีผลให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น หรืออาจเกิดร่องลึกตามหน้าผากและมุมปาก ซึ่งเป็นเหมือนสัญญาณของความแก่นั่นเอง
ชนิดของคอลลาเจน และหน้าที่ที่มีผลต่อโครงสร้างผิว
ก่อนไปทำความเข้าใจถึงสรรพคุณของการฉีด Sculptra เรามาทำความรู้จักกับชนิดและหน้าที่ของคอลลาเจนที่มีผลต่อการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายกันก่อน
ร่างกายมนุษย์สามารถแบ่งแยกประเภทของคอลลาเจนได้มากถึง 5 ประเภท โดยแต่ละประเภทจะมีโครงสร้างโมเลกุลที่แตกต่างกัน ทำให้ความสามารถในการทำหน้าที่แตกต่างกันออกไปด้วย
- คอลลาเจนประเภทที่ 1 (type I) เป็นคอลลาเจนที่มีโครงสร้างโมเลกุลแข็งแรงและเหนียว มักจะพบคอลลาเจนชนิดนี้มากที่สุดในร่างกาย เพราะคอลลาเจนประเภทที่ 1 ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักของผิวหนัง ผนังหลอดเลือด และเส้นเอ็น เพื่อช่วยให้สิ่งเหล่านี้สามารถคงรูปร่างและมีความยืดหยุ่นที่ดีได้
- คอลลาเจนประเภทที่ 2 (type II) พบมากในกระดูกอ่อนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ใบหู ซี่โครง จมูก และหลอดลม มีส่วนช่วยลดการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ และมีหน้าที่รองรับน้ำหนักหรือส่งเสริมการทำงานของข้อต่อในขณะที่มีการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ คอลลาเจนชนิดที่ 2 ยังเป็นคอลลาเจนที่ช่วยดูดซับแรงกระแทก และป้องกันอาการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวได้ด้วย
- คอลลาเจนประเภทที่ 3 (type III) มักพบร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 เพราะทำหน้าที่ใกล้เคียงกัน โดยเน้นการเสริมความยืดหยุ่นและเป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อ ดังนั้น จึงมักพบคอลลาเจนประเภทที่ 3 ตามผิวหนัง ผนังหลอดเลือด และกล้ามเนื้อ
- คอลลาเจนประเภทที่ 4 (type IV) เป็นคอลลาเจนที่พบได้ในชั้นเยื่อรองรับผิว (Basement membrane) ของอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่หุ้มกล้ามเนื้อและไขมัน ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนสารระหว่างชั้นเนื้อเยื่อ และมีส่วนสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและเส้นเลือด
- คอลลาเจนประเภทที่ 5 (type V) เป็นคอลลาเจนที่พบตามเยื่อบุเซลล์ต่าง ๆ และยังพบได้ผิวหนัง เส้นผม และเล็บด้วย โดยมีหน้าที่หลักคือการช่วยจัดเรียงเซลล์ผิวและเส้นใยในชั้นผิวให้เป็นระเบียบ
กระบวนการทำงานของ Sculptra
Sculptra ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ลง ด้วยการกระตุ้นให้ร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้นโดยสาร PLLA จัดเป็น Collagen Biostimulator หรือ สารกระตุ้นคอลลาเจนโดยธรรมชาติ นั่นเอง
เมื่อฉีด Sculptra เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังในบริเวณที่ต้องการรักษา สาร PLLA จะไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผ่านระบบภูมิคุ้มกัน โดยส่งสัญญาณให้เซลล์ Fibroblast สร้างเส้นใยคอลลาเจนให้มากขึ้น และทำให้โครงสร้างของชั้นผิวเกิดการจัดเรียงตัวใหม่ (Remodelling) ซึ่งจะนำไปสู่ผิวที่มีความแข็งแรง กระชับ และดูอ่อนวัยยิ่งขึ้น
ผลลัพธ์ของการฉีด Sculptra อยู่ได้นานแค่ไหน?
หลังฉีด Sculptra แล้ว ร่างกายจะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการผลิตคอลลาเจนชุดใหม่ ซึ่งเราจะรู้สึกได้ถึงผิวที่กระชับ และดูสุขภาพดีขึ้นอย่างช้า ๆ
ผลลัพธ์ของการฉีด Sculptra จะคงอยู่ได้นานได้ถึง 2 ปี และสามารถฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ได้ และสาร PLLA ก็เป็นสารทำงานกับร่างกายได้อย่างปลอดภัย โดยจะสลายตัวไปตามกลไกธรรมชาติ และไม่เหลือตกค้างหรือเป็นอันตราย
อย่างไรก็ดี อายุของผลลัพธ์ก็ย่อมลักษณะผิวและการดูแลผิวของแต่ละบุคคลด้วย
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Sculptra กับวิธีอื่น ๆ
ปัจจุบัน เรามีทางเลือกที่จะช่วยคืนความอ่อนวัยให้ผิวอยู่หลายตัว ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาดูความแตกต่างระหว่าง Sculptra และทรีตเมนต์อีก 3 ตัวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไม่แพ้กัน ซึ่งได้แก่ ฟิลเลอร์ Rejuran และ Gouri
Sculptra กับ ฟิลเลอร์
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอน (Hyaluronic acid) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการอุ้มน้ำ โดยสารตัวนี้จะเข้าไปเติมเต็มปริมาตรผิว ทำให้ดูกระชับและเต่งตึงมากขึ้น
ผลลัพธ์ของโปรแกรมฟิลเลอร์จึงสามารถเห็นได้รวดเร็วกว่า ซึ่งแตกต่างจาง Sculptra ที่เข้าไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกาย และใช้เวลานานกว่าในการเผยผลลัพธ์ที่ชัดเจน
Sculptra กับ Rejuran
Rejuran คือ สาร Polynucleotide (PN) ที่สกัดจากชิ้นส่วนดีเอ็นเอปลาแซลมอน ที่จะเข้าไปฟื้นฟูผิวในระดับดีเอ็นเอ มีการกระตุ้นสร้างเซลล์ Fibroblast เพิ่ม ซึ่งจะช่วยในเรื่องของริ้วรอยได้
สาร PN ยังมีคุณสมบัติในการสร้างหลอดเลือดฝอยใหม่ (Angiogenesis) รวมถึงยังลดการอักเสบของผิว ทำให้ Rejuran เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งกร้าน ผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด และคนที่ต้องการปรับสมดุลให้ผิว
ผลลัพธ์ของ Rejuran เห็นได้ตั้งแต่ช่วง 3-5 วันแรกหลังรับการฉีด ซึ่งต่างจาก Sculptra ที่ต้องใช้เวลาถึง 2-3 สัปดาห์ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง
Sculptra กับ Radiesse
Radiesse เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเช่นเดียวกับ Sculptra แต่ส่วนประกอบหลักของ Radiesse คือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างวอลลุ่มให้ผิวได้แบบกึ่งถาวร
Sculptra และ Radiesse มีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน โดย Radiesse จะเข้าไปจับกับ Fibroblast เพื่อสร้างคอลลาเจนโดยตรง ในขณะที่ Sculptra จะออกฤทธิ์โดยอ้อมผ่านกระบวนการอักเสบในระดับเซลล์ ทั้งนี้ ไม่สามารถสรุปได้ว่ากลไกไหนที่ดีกว่ากัน แต่ต้องขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนเป็นหลัก
Sculptra กับ Skinvive
Skinvive คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอน (Hyaluronic acid) ที่มีเนื้อเจลนิ่มกว่าโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป ดังนั้น จึงมีคุณสมบัติเด่นในด้านการเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวและทำให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น
ในขณะที่ Sculptra จะเน้นในด้านการกระตุ้นคอลลาเจน และฟื้นฟูโครงสร้างผิว ดังนั้น จึงช่วยยกกระชับ แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย และลดริ้วรอยได้ดีกว่า
Sculptra เหมาะกับใครบ้าง?
การเลือกวิธี Sculptra อาจเหมาะสมกับคนบางกลุ่ม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลต่อไปนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ วิธี Sculptra เหมาะกับกลุ่มคนดังนี้
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากวิธีนี้ไม่ได้เป็นวิธีที่เห็นผลทันตา และอาจเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหามาเป็นเวลานาน Sculptra จึงเหมาะสมกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบไม่เร่งด่วน
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ คนที่ไม่ต้องการใช้วิธีแก้ปัญหาริ้วรอยด้วยการฉีดสารเติมเต็ม สามารถเลือกใช้ Sculptra เพื่อยกกระชับผิวอย่างเป็นธรรมชาติได้
- ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ยาวนาน วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาเข้าคลินิก เพราะการฉีด Sculptra สามารถแสดงผลได้ยาวนานถึง 2 ปี
ฟื้นฟูผิวด้วย Sculptra ที่ Doctorlife Clinic
จากข้อมูลข้างต้นจึงสามารถสรุปได้ว่า การฉีด Sculptra จะช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น มีผลต่อการแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย และทำให้ใบหน้ากลับมาเต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่กำลังสนใจอยากดูแลผิว กู้หน้าโทรม หรือแก้ปัญหาเรื่องริ้วรอย แต่ไม่แน่ใจว่าวิธีไหนจะเหมาะสมกับตัวเองที่สุด สามารถติดต่อ Doctorlife Clinic เพื่อเข้ามาเช็กสภาพผิวและขอคำปรึกษาได้
