FAQs
หมวดหมู่
Pico Laser ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องอะไรบ้าง?
- ช่วยลดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ
- ช่วยรักษารอยดำและรอยแดงจากสิว
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย
- ช่วยรักษารูขุมขนกว้าง ผิวหน้าไม่เรียบเนียน
- ช่วยรักษาหลุมสิว และแผลเป็นต่างๆ
- ฟื้นฟูสภาพผิว ปรับสีผิวให้กระจ่างใส และสีผิวสม่ำเสมอ
- ช่วยลบรอยสัก
Pico Laser ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
จำนวนครั้งในการรักษาด้วย Pico Laser จะขึ้นอยู่กับสภาพของปัญหาผิวในแต่ละบุคคล แต่โดยปกติ แล้วจำนวนครั้งในแต่ละจุดที่สามารถเห็นผลได้ มีดังนี้
- หน้ากระจ่างใส ควรทำประมาณ 1-2 ครั้ง จะสามารถเห็นผลการเปลี่ยนผิวดูกระจ่างใสขึ้น
- รอยสิว จุดด่างดำ กระตื้น ควรทำประมาณ 1-2 ครั้ง หรือขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการประเมินจากแพทย์ผู้ทำการรักษา
- หลุมสิว ควรทำประมาณ 4-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผลเป็นหลุมสิว
- ฝ้า กระลึก รอยแผลเป็น ควรทำ Pico Laser ประมาณ 5-6 ครั้ง หรือจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
- ลบรอยสัก จำนวนครั้งในการรักษาจะขึ้นอยู่กับขนาด ความเข้ม และความลึกของรอยสัก
ควรทำ Pico Laser แต่ละครั้งห่างกันนานเท่าไหร่?
การทำ Pico Laser ควรทำห่างกันประมาณ 1 เดือน/ครั้ง เพื่อรอให้ผิวได้รับการฟื้นฟูก่อน เนื่องจากหัตถการนี้จะเร่งการผลัดเซลล์ จึงอาจทำให้ผิวระคายเคืองง่าย ทั้งนี้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรเข้ารับการรักษาตามนัด หรือตามคำแนะนำของแพทย์ทุกครั้ง
Pico Laser เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแบบไหน?
- ผู้ที่มีปัญหารอยดำรอยแดงจากสิว
- ผู้ที่มีปัญหาความผิดปกติของเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
- ผู้ที่มีหลุมสิว รอยแผลเป็น
- ผู้ที่ต้องการลบรอยสักสีดำ หรือรอยสักสีเข้ม
หลังทำ Pico Laser ห้ามโดนแดดกี่วัน?
หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรง และการอาบแดด เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากผิวหลังทำพิโค่เลเซอร์จะบอบบางและมีความไวต่อแสงมากกว่าปกติ และควรทาครีมกันแดดทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปกป้องผิวและให้ผลลัพธ์การรักษามีประสิทธิภาพ
หลังทำ Pico Laser ทำไมถึงห้ามไม่ให้ผิวโดนน้ำ?
หลังทำ Pico Laser ควรงดโดนน้ำอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เนื่องจากจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
ถ้าเป็นสิวอยู่ สามารถทำ Picos Laser ได้ไหม?
สำหรับคนไข้ที่เป็นสิวแล้วต้องการทำ Picos Laser จะแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
- กรณีที่มีสิวเล็กน้อยบนใบหน้าสามารถทำ Pico Laser ได้ และสามารถทำควบคู่กับการรักษาสิวร่วมด้วยได้
- กรณีที่มีสิวอักเสบมาก หรือสิวเม็ดใหญ่ ควรรักษาสิวให้หายก่อน แล้วค่อยมาทำ Pico Laser
ความรู้สึกระหว่างทำ Pico Laser เป็นอย่างไร?
ระหว่างที่รักษาด้วย Pico Laser ผู้รับบริการจะรู้สึกอุ่นๆ บริเวณผิวหนัง และจะรู้สึกดีดๆ บริเวณที่มีเม็ดสี ซึ่งระดับความเจ็บจะอยู่ในระดับที่สามารถทนได้ ทั้งนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับการรับความรู้สึกทนเจ็บของคนไข้แต่ละบุคคลด้วย
Pico Laser ทําให้หน้าบางลงจริงไหม?
การทำ Pico Laser ไม่ส่งผลให้ผิวบาง เนื่องจากเทคโนโลยีการทำ Pico Laser จะเป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่แสงเลเซอร์จะไปทำลายแค่เม็ดสีในชั้นผิวอย่างเฉพาะเจาะจง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินเท่านั้น โดยจะไม่มีการไปรบกวนหรือทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียงอื่นๆ จึงไม่มีผลทำให้ผิวบางลงหรือเกิดบาดแผลภายนอก
หลังทำแล้ว ปัญหารอยดำ หรือจุดด่างดำ มีโอกาสกลับมาเป็นอีกไหม?
- ผู้ที่มีปัญหารอยดำจากสิว ผิวหมองคล้ำ รูขุขมขนกว้าง หลุมสิว กระตื้น กลุ่มนี้หากได้รับการรักษาที่หายแล้วจะหายเลย ยกเว้นว่าจะเกิดปัญหาผิวนี้ขึ้นมาใหม่ตามธรรมชาติ
- ผู้ที่มีปัญหาฝ้า ก็สามารถใช้ Pico Laser ในการรักษาได้ และควรมีการใช้ยาทา ยารับประทาน และการควบคุมปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าร่วมด้วยตามคำแนะนำและการวางแผนการรักษาของแพทย์ เนื่องจาก Pico Laser จะช่วยให้ฝ้าจางลง หรือบางลง แต่จะไม่หายสนิท
โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ กี่วันเห็นผล?
ระยะเวลาฉีดโบท็อกกี่วันเห็นผล จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด ดังนี้
- ฉีดลดริ้วรอย ตำแหน่งหน้าผาก ตีนกา ใต้ตา เห็นผลประมาณ 3-7 วัน และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์
- ฉีดลดกราม ปรับรูปหน้า จะเริ่มเห็นผลประมาณ 14 วัน และเห็นผลชัดเจนขึ้นประมาณ 4-6 สัปดาห์
- ลิฟกรอบหน้า เหนียง ลำคอ เห็นผลประมาณ 3-7 วัน และเห็นผลชัดเจนขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์
- โปรแกรมฉีดโบท็อกรักแร้ ลดเหงื่อ จะเห็นผลประมาณ 3-7 วัน และเห็นผลชัดเจนขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์
- โปรแกรมฉีดโบท็อกออฟฟิศซินโดรม หลังฉีดจะรู้สึกสบายตัวขึ้น ปวดน้อยลง และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นในช่วง 7-14 วัน
โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ อยู่ได้นานแค่ไหน?
โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์จะไม่ได้อยู่ถาวร ซึ่งระยะเวลาการเห็นผลจะขึ้นอยู่กับจุดที่ฉีด ดังนี้
- ฉีดลดริ้วรอย จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน
- ฉีดลดกราม จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 5-6 เดือน
- ลิฟกรอบหน้าด้วยเทคนิค Dermolift จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือน ส่วนการฉีดลิฟกรอบหน้าด้วยเทคนิค Nefertiti lift จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน
- โปรแกรมฉีดโบท็อกรักแร้ ลดเหงื่อ จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3-5 เดือน
- โปรแกรมฉีดโบท็อกออฟฟิศซินโดรม จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน
*ทั้งนี้ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองหลังฉีดของคนไข้แต่ละบุคคล
โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ ควรฉีดทุกกี่เดือน?
หากคนไข้ต้องการผลลัพธ์หลังฉีดอย่างต่อเนื่องสามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ โดยเว้นระยะห่าง ดังนี้
- ฉีดลดริ้วรอย ควรฉีดห่างกันแต่ละครั้งประมาณ 3-4 เดือน
- ลดกราม ควรฉีดห่างกันแต่ละครั้งประมาณ 4-5 เดือน
- ลิฟกรอบหน้า ควรฉีดห่างกันแต่ละครั้งประมาณ 3-4 เดือน
- ลดกลิ่นตัว หรือลดเหงื่อ ควรฉีดห่างกันแต่ละครั้งประมาณ 4–6 เดือน
- โปรแกรมฉีดโบท็อกออฟฟิศซินโดรม ควรฉีดห่างกันแต่ละครั้งประมาณ 3-4 เดือน
โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้ที่ต้องการลดเลือนรอยย่นบนใบหน้า
- ผู้ที่ต้องการลดเลือนรอยตีนกา
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าแนวโหนกแก้มให้กระชับขึ้น
- ผู้ที่ต้องการลดภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ และลดกลิ่นตัว
- ผู้ที่ต้องการบรรเทาอาการปวดออฟฟิศซินโดรม
โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง?
- ยกกระชับใบหน้าให้ตึงกระชับ
- ลดริ้วรอยหน้าผาก หางตา ยกหางคิ้ว และรอยย่นใต้ตา
- ลดความหย่อนคล้อย รูขุมขนดูเล็กลง
- ลดร่องแก้มลึก
- ลดริ้วรอยรอบริมฝีปาก
- ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก
- ลดความมันบริเวณใบหน้า ทำให้ผิวหน้าละเอียดขึ้น
หลังทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ สามารถดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายได้ไหม?
หลังเข้ารับบริการโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการออกกำลังกายหนักๆ อย่างน้อย 3 วัน รวมทั้งควรงดกิจกรรมที่ทำให้ได้รับความร้อนเยอะๆ เช่น การซาวน่า อบไอน้ำ
หลังทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ ห้ามนอนราบกี่ชั่วโมง?
คำแนะนำหลังเข้ารับบริการโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ ควรงดนอนราบ 4 ชั่วโมง และงดการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจ เนื่องจากจะทำให้เลือดไหลเวียนมาที่หน้าเยอะขึ้น และอาจจะทำให้ตัวยาที่ฉีดเข้าไปกระจายตัวมากจนเกินไป
หลังทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์นวดหน้าได้ไหม?
ห้ามนวด กด หรือคลึงใบหน้าในบริเวณที่ทำการฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน โดยเฉพาะในช่วง 4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด เนื่องจากตัวยากำลังทำการกระจายตัวแทรกซึมเข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อที่ฉีดนั่นเอง ถ้าหากมีการสัมผัสบริเวณที่ฉีดบ่อยๆ ก็อาจส่งผลให้ตัวยากระจายตัวไปกล้ามเนื้อบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการได้
ทั้งนี้ หลังจากผ่านไปอย่างน้อย 14 วันแล้ว ก็สามารถเข้ารับบริการทำทรีตเมนต์นวดบำรุงผิวหน้าอื่นๆ ได้ตามปกติ
หลังทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ สามารถทาสกินแคร์ได้ไหม?
การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือการทาสกินแคร์ต่างๆ เป็นเพียงหนึ่งในขั้นตอนการบำรุงผิวพรรณเท่านั้น ซึ่งจะไม่ได้ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของสารโบทูลินัม ท็อกซิน ที่ฉีดเข้าไปแต่อย่างใด แต่มีข้อควรระวังในช่วงแรกๆ หลังทำหัตถการมา แนะนำให้ทาสกินแคร์อย่างเบามือ โดยไม่นวดคลึงผิวแรงๆ
หลังทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ลดกราม การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเรื่องอะไร?
ในกรณีที่ทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ลดกรามมาแล้ว แนะนำให้ทำการขยับใบหน้า หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง อย่างน้อย 30 นาที เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามได้มีการเคลื่อนไหว และช่วยให้ตัวยากระจายหรือซึมซาบเข้าสู่กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดได้อย่างเต็มที่
โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ควรฉีดกี่ยูนิตถึงจะเห็นผล?
ปริมาณยูนิตที่ใช้ในโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์จะขึ้นอยู่กับจุดที่ฉีด และปัญหาของแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์ผู้ทำหัตถการจะเป็นผู้ประเมินปริมาณยา เพื่อให้เหมาะสมกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขของคนไข้แต่ละบุคคล
ทานยาฆ่าเชื้อ ยาลดอักเสบ หรือยาแก้ปวด มีผลต่อโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์หรือไม่?
ยาฆ่าเชื้อ ลดอักเสบ หรือยาแก้ปวด จะไม่มีผลต่อสารโบทูลินัม ท็อกซิน
หลังทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ ห้ามกินอะไรบ้าง?
ข้อแนะนำในช่วงหลังทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์มาประมาณ 14 วัน มีอาหารที่ควรงดทาน ดังนี้
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดและควรงดการสูบบุหรี่
- อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาหรือต้องโดนไอความร้อน เช่น ชาบู หมูกระทะ ปิ้งย่าง
- อาหารหมักดอง เนื่องจากอาหารประเภทนี้จะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว เช่น ปลาร้า ผักดอง และผลไม้ดองต่างๆ
- อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ และอาหารทะเล
- อาหารที่มีรสเผ็ดจัด หรืออาหารที่ทำให้แสบร้อนจนหน้าแดง
ข้อควรระวังในการทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ มีอะไรบ้าง?
ข้อควรระวังหรือบุคคลที่ไม่แนะนำให้ทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ ได้แก่
- ผู้ที่มีอาการแพ้สาร Botulinum Toxin
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
- ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงรุนแรง
- ผู้ที่เป็นโรคเลือดออกแล้วหยุดยาก
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นานแค่ไหน?
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้ในประเทศไทยปัจจุบัน เป็นสารเติมเต็มกลุ่มไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “HA” ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้น สามารถเติมเต็มชั้นผิว หรือเสริมชั้นในผิวหนังและใต้ผิวหนังให้สมบูรณ์ พร้อมช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว โดยจะใช้ทดแทนคอลลาเจนและไฮยาลูรอนที่ร่างกายสูญเสียและมีการยุบตัวลงไปเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อมีการฉีดสารเติมเต็มนี้เข้าไป จะช่วยเติมเต็มชั้นผิวบริเวณต่างๆ ของใบหน้าให้มีความยืดหยุ่น เต่งตึง อิ่มฟู และช่วยแก้ปัญหาผิวบริเวณที่มีริ้วรอยลึกของใบหน้าให้กลับมาเรียบเนียนกระชับ ดูอ่อนเยาว์ และเปล่งปลั่งขึ้น
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ช่วยอะไรบ้าง?
- เติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า เช่น ใต้ตา ขมับ หน้าแก้ม
- ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้น และเพิ่มความเป็นมิติขึ้น เช่น คาง ขมับ หน้าผาก
- เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิว
- ช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ ทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์
- ช่วยเติมเต็มใบหน้ามี volume ดูมีน้ำมีนวลขึ้น เช่น ริมฝีปาก คาง ขมับ หน้าผาก
- ช่วยบำรุงผิวหน้าให้เปล่งปลั่ง ดูสดชื่นมากขึ้น
- สามารถฉีดหลังมือ เพื่อแก้ปัญหามือแห้ง หรือมือเหี่ยวย่นได้อีก
หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ บวมกี่วัน?
หลังเข้ารับบริการโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มาแล้วอาจมีอาการบวมประมาณ 7-14 วัน โดยในช่วง 2-3 วันแรกหลังฉีดจะบวมมากที่สุด และจะค่อยๆ บวมน้อยลงและจะหายบวมได้เอง
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ กี่วันเห็นผล
เมื่ออาการบวมลดลงและหายไปแล้ว จะเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ชัดเจนขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยปกติแล้วเมื่อฉีดสารเติมเต็มเข้าไปจะสามารถอยู่ได้นาน 8-18 เดือน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของสารเติมเต็มที่ใช้ฉีด รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ด้วยเช่นกัน
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ฉีดจุดไหนได้บ้าง แต่ละจุดช่วยเรื่องอะไร?
จุดฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่นิยมทำ ได้แก่
- หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากบุบ เป็นคลื่น มีริ้วรอยร่องลึก ช่วยเสริมหน้าผากให้โหนกนูน เพิ่มมิติให้ใบหน้าให้ได้สัดส่วน
- ขมับ แก้ปัญหาขมับตอบ ลดความเด่นของโหนกแก้มสูง ทำให้หน้าดูดุ ช่วยเติมโครงหน้าให้ดูเต็มขึ้น
- ใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ ซึ่งจะทำให้ใบหน้าดูโทรม ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
- แก้มส้ม เป็นการฉีดสารเติมเต็มบริเวณกลางหน้าหรือพวงแก้ม ช่วยในการแก้ปัญหาหน้าแก้มแบน ผิวหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและสดใสมากขึ้น
- ร่องแก้ม แก้ปัญหาร่องแก้มลึก ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ ช่วยเติมเต็มร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
- ปาก ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มและชุ่มชื้นมากขึ้น
- คาง ปรับให้องค์ประกอบใบหน้าดูสมมาตร แก้ปัญหาคางสั้น หรือคางตัด
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละครั้งไม่ควรฉีดเกินกี่ CC ?
โดยส่วนมากใช้ฉีดประมาณ 1-4 CC ซึ่งปริมาณการฉีดสารเติมเต็มจะขึ้นกับตำแหน่งที่ฉีด สภาพปัญหาใบหน้าของแต่ละบุคคล และความต้องการของคนไข้แต่ละบุคคล โดยแพทย์ผู้ทำการรักษาจะเป็นผู้ประเมิน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด ทั้งนี้ ในการฉีดสารเติมเต็มแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องเติมทีเดียวในปริมาณมาก แต่สามารถมาเติมได้เรื่อยๆ ตามความต้องการของผลลัพธ์ที่สวยงาม
หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แล้วจะสลายไปเองได้หรือไม่?
หากฉีดสารเติมต็มประเภท Hyaluronic Acid จะสามารถสลายหมดได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ตกค้างภายในร่างกาย และสามารถฉีดเพิ่มเติมได้ตามคำแนะนำของแพทย์
หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สามารถแต่งหน้าได้ไหม?
หลังจากทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มาแล้ว ให้งดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณรอยเข็ม หรือจนกว่ารอยรูเข็มจะปิดสนิท
หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ มีผลข้างเคียงหรือไม่?
- บางรายอาจมีผลข้างเคียงจากการฉีดได้ เช่น ผื่นหรือจุดแดงบริเวณรอยเข็ม ซึ่งสามารถหายไปได้เองประมาณ 1 สัปดาห์ โดยให้หลีกเลี่ยงการแกะ เกา กดนวดในจุดที่ฉีด
- อาจมีอาการปวด ระบมบริเวณที่ฉีด ซึ่งหากมีอาการปวดคนไข้สามารถทานยาแก้ปวดได้ตามอาการ และจะหายไปได้เองประมาณ 3-7 วัน
ทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มาแล้ว สามารถทำทรีตเมนต์หน้าหรือทำเลเซอร์ได้หรือไม่?
แนะนำให้งดการนวดหน้าและการทำเลเซอร์ อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เนื่องจากพลังงานเลเซอร์อาจทำให้เกิดความร้อนใต้ชั้นผิว แล้วส่งผลต่อการเซตตัวของสารเติมเต็มและอาจทำให้สารเติมเต็มสลายเร็วขึ้นด้วย รวมทั้งการกด ถู นวดใบหน้าอาจทำให้สารเติมเต็มผิดรูปได้
ต้องงดอาหารเสริม หรือวิตามิน ก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หรือไม่?
ควรงดอาหารเสริมจำพวกวิตามินอี, ยาแอสไพริน, Fish Oil, แปะก๊วย ก่อนฉีดอย่างน้อย 3-5 วัน เนื่องจากอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดแข็งตัวช้าในระหว่างการฉีด และทำให้รอยเข็มบริเวณที่ฉีดหายช้า หรือเกิดรอยช้ำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ต้องพักฟื้นกี่วัน?
หลังรับการรักษาสามารถกลับไปทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ แต่อาจมีอาการบวมหรือช้ำได้เล็กน้อย ซึ่งจะดีขึ้นภายใน 3-5 วัน และเข้าที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปริมาณที่เติมเข้าไปในแต่ละบุคคล
หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ห้ามกินอะไรบ้าง?
อาหารที่ควรงดในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีดสารเติมเต็ม มีดังนี้
- งดอาหารหมักดอง เช่น ส้มตำปลาร้า หน่อไม้ดอง เป็นต้น เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรค แล้วกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของรอยเข็มบริเวณที่ฉีดได้
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เนื่องจากทำให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดสูบฉีดมากขึ้น ทำให้อาการบวมจากเข็มจะหายช้าลง และบริเวณที่ฉีดจนเกิดอาการอักเสบได้ง่าย
- อาหารที่มีรสเผ็ดจัด เค็มจัด อาจจะทำให้ร่ายกายมีการดูดน้ำค่อนข้างมาก ส่งผลให้ใบหน้าบวมได้ รวมทั้งอาหารที่เผ็ดจัดอาจทำให้มีน้ำมูกไหล ส่งผลต่อการติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ
- อาหารดิบ หรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่ได้ผ่านการปรุงสุก จึงอาจมีพยาธิปนเปื้อน และส่งผลต่อการเกิดการอักเสบมากขึ้นได้
- ชาบู หมูกระทะ ปิ้งย่าง ที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ อาจทำให้ผิวหน้าอยู่ใกล้ความร้อนมากกว่าปกติ ซึ่งจะส่งผลข้างเคียงต่อการเซตตัวของสารเติมเต็มได้
หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ มีข้อห้ามอะไรบ้าง?
ข้อห้ามและข้อปฏิบัติในการดูแลตัวเองหลังฉีดมีดังนี้
- งดแต่งหน้าและทาครีมบำรุงบริเวณที่ฉีด ประมาณ 24 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงแสงแดดที่ร้อนจัด น้ำอุ่น และอบซาวน่า
งดการออกกำลังกายอย่างหนักในช่วง 2 วันแรกหลังฉีด - งดการกด นวด สัมผัสบริเวณที่ฉีด ประมาณ 2 สัปดาห์
- ควรดื่มน้ำปริมาณมาก เพื่อช่วยให้สารเติมเต็มฟูสวยได้รูปมากขึ้น เนื่องจากสารเติมเต็มไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) เป็นสารที่อุ้มน้ำ
- งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 วันแรกหลังฉีด
โปรแกรมฉีด Radiesse ช่วยเรื่องอะไร?
โปรแกรมฉีด Radiesse หรือ เรเดียส จะช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าดังนี้
- ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี ผิวเฟิร์ม และอิ่มฟูขึ้น
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 และ Type 3
- ช่วยเติมเต็มร่องลึก
แก้ปัญหาหน้าโทรม ขาดวอลลุ่ม - ช่วยยกกระชับผิวทั่วใบหน้า
โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะกับใคร?
โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาต่อไปนี้
- ผู้ที่มีริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ร่องมุมปาก
- ผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
- ผู้ที่ต้องการให้ใบหน้ากระชับขึ้น ผิวแน่นเฟิร์มขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดคอลลาเจน ไม่มีวอลลุ่ม
- ผู้ที่ต้องการให้ผิวหน้ากลับมาสดใส เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนเยาว์
โปรแกรมฉีด Radiesse ไม่เหมาะกับใคร?
ข้อควรระวังหรือผู้ที่ไม่เหมาะสำหรับการรักษาด้วยโปรแกรมฉีด Radiesse ได้แก่
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ทั้งนี้ สำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ต้องการฉีดควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ก่อนทำการตัดสินใจฉีดทุกครั้ง
- ผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวกับอาการเลือดออกง่าย เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการเลือดออกแล้วหยุดไหลยาก
- ผู้ที่มีการอักเสบบริเวณผิวหนัง เนื่องจากจะกระตุ้นที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองมากขึ้น จึงควรรักษาผิวที่มีการอักเสบให้หายก่อนค่อยกลับมาฉีด Radiesse
- ผู้ที่มีผิวหนังเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์สูง เนื่องจากอาจทำให้เซลล์คอลลาเจนที่เข้าไปสมานแผลมีปริมาณมากเกินจำเป็น จนมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดคีลอยด์ขนาดใหญ่ขึ้นได้
โปรแกรมฉีด Radiesse เห็นผลเมื่อไหร่?
- หลังฉีดมาแล้วจะเริ่มเห็นผลลัพธ์โดยที่ผิวจะค่อยๆ ดีขึ้น ประมาณ 1-4 สัปดาห์แรก ซึ่งผิวจะมีความกระชับ ผิวแน่นฟู และริ้วรอยจางลง
- จากนั้น 3-6 เดือน หลังฉีด Radiesse จะเริ่มออกฤทธิ์กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น โดยที่ผิวจะมีความยืดหยุ่นและมีวอลลุ่มมากขึ้น
- หากต้องการให้เห็นผลเต็มที่และอยู่ได้นาน แนะนำให้ทำการรักษาติดต่อกัน 1-3 ครั้งขึ้นไป โดยเว้นระยะห่างประมาณ 1 เดือน ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย
โปรแกรมฉีด Radiesse อยู่ได้นานแค่ไหน?
หลังทำการรักษาโปรแกรมฉีด Radiesse จะคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดและร่างกายของแต่ละบุคคล
โปรแกรมฉีด Radiesse ใช้ฉีดตรงไหนได้บ้าง?
จุดที่นิยมฉีดเพื่อเพิ่มวอลลุ่ม ยกกระชับ แก้ไขรอยพับหรือร่องลึกบริเวณใบหน้า รวมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทั่วใบหน้า ทำให้ผิวดีขึ้นและดูเด็กลง ได้แก่
- ใบหน้า
- หน้าแก้ม
- กรอบหน้า
- ลำคอ
ทั้งนี้ บริเวณที่ไม่แนะนาให้ฉีด คือ ผิวหนังบริเวณกล้ามเนื้อรอบดวงตา หรือบริเวณที่ใกล้ตา ร่องระหว่างคิ้ว และริมฝีปาก
ผลข้างเคียงหลังทำการฉีด Radiesse เป็นอย่างไร?
หลังทำการรักษาโปรแกรมฉีด Radiesse อาจเกิดอาการเขียวช้ำ บวมแดง ปวด หรือมีอาการคันบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการปกติที่สามารถเกิดขึ้นชั่วคราว และอาการดังกล่าวสามารถหายได้เองประมาณ 1-3 วัน (บางรายอาจมากกว่านั้น)
แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาบริเวณที่ฉีด เนื่องจากรูเข็มยังปิดไม่สนิทอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ทั้งนี้ หากเกิดกรณีที่มีอาการผิวเปลี่ยนสีหรือผิวซีดลงในบริเวณที่ฉีด ควรกลับมาพบแพทย์ที่ทำการรักษาในทันที
Radiesse (เรเดียส) และ Radiesse+ (เรเดียสพลัส) ต่างกันอย่างไร?
- Radiesse หรือ เรเดียส เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ชนิดพิเศษ ที่ประกอบด้วย CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นกระบวนการให้เซลล์เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิวด้วยตนเองตามธรรมชาติ โดยจะเด่นในเรื่องกระตุ้นโครงสร้างผิว 5 ประการ ได้แก่
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน TYPE 1 สูงถึง 150%
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน TYPE 3 ถึง 130%
- ช่วยเสริมกับคอลลาเจน TYPE 1 ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงมากขึ้น
ช่วยเพิ่ม Elastin สูงถึง 250% ให้ผิวมีความยืดหยุ่นได้ดีขึ้น - เพิ่มสารอาหารหล่อเลี้ยงเซลล์ผิว (Angiogenesis) ช่วยเสริมสร้างเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเซลล์ผิว เสริมฤทธิ์การกระตุ้นคอลลาเจน
- เพิ่มสารน้ำหล่อเลี้ยงผิว (Proteoglycan) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
- Radiesse+ หรือ เรเดียสพลัส จะเด่นในเรื่องของการยกกระชับและสร้างกรอบหน้า โดยมีสารประกอบหลักคือ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) และยาชา Lidocaine รวมอยู่ในปริมาณ 0.3% ซึ่งตัวยาจะมีความหนืดสูง คงที่ และไม่เคลื่อนตัว ทำให้เรเดียสพลัสมีคุณสมบัติช่วยในเรื่องของการปรับโครงสร้างหน้าโดยเฉพาะ นิยมฉีดบริเวณ Cheek bone และ Jawline เพื่อช่วยสร้างกรอบหน้าให้คมชัดและมีมิติมากขึ้น
สามารถทำโปรแกรมฉีด Radiesse ร่วมกับ Sculptra ได้หรือไม่?
- หากต้องการฉีด Radiesse และ Sculptra ในบริเวณที่ต่างกัน สามารถฉีดร่วมกันได้ แต่ต้องได้รับการปรึกษาจากแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข
- แต่หากต้องการฉีด Radiesse และ Sculptra บริเวณเดียวก็สามารถทำได้ แต่ควรเว้นระยะ 3-6 เดือน เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ฉีด Radiesse ครั้งแรกออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ก่อน และควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาหรือเติมไปในจุดที่จำเป็นเพิ่มเติมอีกครั้งได้
โปรแกรมฉีด Radiesse สามารถฉีดกับโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ได้ไหม?
สามารถฉีดร่วมกับโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ได้ เนื่องจากการทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์จะเป็นการฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ แต่สำหรับโปรแกรมฉีด Radiesse จะเป็นการฉีดที่ชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งเป็นการฉีดคนละชั้นผิวกัน จึงไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่อันตรายต่อกัน แต่ก็ต้องเข้ารับการปรึกษาและได้รับการประเมินปัญหาผิวจากแพทย์ก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลนั่นเอง
หลังทำโปรแกรมฉีด Radiesse แล้วห้ามโดนความร้อนเหมือนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์หรือไม่?
สำหรับโปรแกรมฉีด Radiesse ไม่จำเป็นต้องเลี่ยงความร้อนหลังฉีดเหมือนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากโปรแกรมฉีด Radiesse จะเป็นการทำงานโดยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ส่วนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์จะเป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด Hyaluronic Acid ที่จะช่วยเติมเต็มช่องว่างชั้นในผิวหนังและใต้ผิวหนัง และสามารถสลายไปเองได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการโดนความร้อนสูงก็จะยิ่งสลายเร็วขึ้น ดังนั้น Radiesse จึงไม่ต้องเลี่ยงความร้อนเพราะไม่มีความเสี่ยงที่จะละลายจนเสียรูป
หลังทำโปรแกรมฉีด Radiesse ดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง?
วิธีการดูแลตัวเองพื้นฐานหลังทำการรักษาด้วยโปรแกรมฉีด Radiesse มีดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส ลูบ แตะ หรือเกาบริเวณที่ฉีด
- งดการแต่งหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง หรือจนกว่ารอยเข็มจะหายดี
- ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีด
- งดการทําหัตถการที่มีความร้อนสูง และงดซาวน่า อย่างน้อย 7 วันหลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 2 สัปดาห์
- แนะนำดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- หลีกเลี่ยงยากลุ่มแอสไพริน หรือ NSAID อย่างน้อย 1 สัปดาห์ หากมีอาการปวดแนะนำทานพาราเซตามอลแทนได้
- หากมีอาการบวมแดง สามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการช้ำได้ และเมื่อผ่าน 24 ชม.ไปแล้วแนะนําให้ประคบอุ่น (ตามคําแนะนําของแพทย์)
โปรแกรมฉีด Belotero Revive ต่างจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์อื่นอย่างไร?
โปรแกรมฉีด Belotero Revive เป็นสารเติมเต็มตัวเดียวที่มีส่วนผสมทั้ง กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) และกลีเซอรอล (Glycerol) ในตัวเดียวกัน ซึ่งจะต่างจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์อื่นๆ ที่มีส่วนประกอบเป็น Hyaluronic Acid เพียงอย่างเดียว โดยส่วนประกอบหลักทั้ง 2 ชนิดของโปรแกรมฉีด Belotero Revive นี้ ผลิตมาเพื่องานผิว หรือ Skin Quality โดยเฉพาะ ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยในการฟื้นฟูผิวดังนี้
- Hyaluronic Acid มีคุณสมบัติช่วยเติมน้ำให้กับผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ผิวดูอ่อนเยาว์ มีความยืดหยุ่นมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการเติมเต็มได้ดี
- Glycerol มีคุณสมบัติเรื่องการอุ้มน้ำ หรือกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว ยิ่งเราเติมน้ำเข้าไปในร่างกาย ผิวก็จะอุ้มน้ำได้ดียิ่งขึ้น ให้ผิวดูฉ่ำน้ำ ฉ่ำวาว นุ่มเด้ง ผิวเนียนละเอียด
โปรแกรมฉีด Belotero Revive ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
โปรแกรมฉีด Belotero Revive จะช่วยยกระดับผิวใสให้ดูดีขึ้นถึง 4 มิติ (4D) ได้แก่
- Skin Hydration ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นจากผิวชั้นใน ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว
- Skin Glow ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส เนียนเด้ง พร้อมฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดและมลภาวะ
- Skin Firmness ช่วยให้ผิวแน่น เฟิร์ม ดูกระชับ เรียบเนียน
- Skin Elasticity ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้ผิวดูเด้ง อิ่มฟู
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero Revive ฉีดจุดไหนได้บ้าง?
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero Revive เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อเติมเต็มและแก้ไขใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณผิวที่มีริ้วรอยร่องลึก หรือผิวขาดน้ำ เพื่อทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้นฉ่ำวาว ผิวดูเรียบเนียน และเต่งตึงขึ้น รวมทั้งสามารถฉีดบริเวณลำคอ เพื่อลดร่อยเหี่ยวย่น ผิวหย่อนคล้อย ผิวแห้งกร้าน ให้กลับมาดูกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้นด้วย
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero Revive เหมาะกับใคร?
เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิว ดังนี้
- ผู้ที่มีปัญหาหน้าโทรม ผิวแห้งกร้านขาดน้ำ ดูไม่สดใส
- ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องตื้น หรือรอยหลุมสิวตื้นๆ
- ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้าให้ดูเอิบอิ่ม ชุ่มชื้นขึ้น
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวสุขภาพดี หรือผิวพร้อมใช้งานในทุกสถานการณ์ ช่วยลดขั้นตอนในการบำรุงผิวหน้า
หลังทำโปรแกรมฉีด Belotero Revive มีผลข้างเคียงไหม?
- หลังเข้ารับบริการโปรแกรมฉีด Belotero Revive เสร็จทันที อาจมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันในบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้
- ควรหลีกเลี่ยงการแตะ เกา กดนวดในบริเวณที่ฉีด โดยอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน แต่บางรายอาจมีอาการบวมนานประมาณ 7-8 วัน
- แนะนำให้ทำการประคบเย็นหลังการฉีดจะสามารถช่วยลดอาการบวมและแดงลงได้
โปรแกรมฉีด Belotero Revive ฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
- ทำโปรแกรมฉีด Belotero Revive 1 ครั้ง จะเริ่มเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลง โดยที่ผิวจะดูอิ่มฟู ชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และรูขุมขนดูกระชับมากขึ้นประมาณ 2 สัปดาห์
- เมื่อฉีดติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างในการฉีดต่อเนื่องทุก 1 เดือน จะเห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นและช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างเต็มที่ โดยที่จะได้ผิวชุ่มชื้นฉ่ำวาว Glass Skin หลุมสิวตื้นขึ้น และผิวเนียนเด้ง ดูอิ่มฟู
หลังทำโปรแกรมฉีด Belotero Revive ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไปหลังเข้ารับบริการโปรแกรมฉีด Belotero Revive ฉีดแค่ครั้งเดียวก็จะช่วยให้ผิวฉ่ำวาวอยู่ได้นานประมาณ 7-9 เดือน ทั้งนี้ ระยะเวลาโดยประมาณจะขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพของผิวของแต่ละบุคคลด้วย
ทำโปรแกรมฉีด Belotero revive ร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม?
สามารถฉีดร่วมกับหัตถการอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า หรือแก้ไขและเติมเต็มส่วนลึกโบ๋ รวมทั้งการใช้เครื่องยกกระชับ เช่น โปรแกรม Ultherapy, Hifu เป็นต้น แต่ทั้งนี้ก็ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตรงจุดกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคลมากที่สุด
เปรียบเทียบโปรแกรมฉีด Belotero Revive VS Rejuran VS Exosome ต่างกันยังไง?
- Belotero Revive จะเน้นเรื่องงานผิว หรือ Skin Quality โดยมีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid และ Glycerol เข้มข้นกว่าสารเติมเต็มงานผิวตัวอื่นๆ ช่วยบำรุงผิวฉ่ำวาว เติมความชุ่มชื้น Glass Skin ผิวเล่นแสง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น
- Rejuran ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กระจ่างใส เติมความชุ่มชื้น และแก้ไขปัญหาเรื่องหลุมสิว ซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ เหมาะกับคนที่กำลังมีปัญหารอยแผลเป็นจากสิว รูขุมขนกว้าง
- Exosome จะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ผิวให้แข็งแรงขึ้น และลดการแพ้การอักเสบของผิว จุดด่างดำ หรือรอยสิว
การปฏิบัติตัวหลังทำโปรแกรมฉีด Belotero Revive ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
วิธีดูแลตัวเองหลังรับบริการโปรแกรมฉีด Belotero Revive มีดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง หรือทาครีมบำรุง หลังฉีดประมาณ 12 ชั่วโมงแรก เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ เนื่องจากรอยเข็มอาจจะยังปิดไม่สนิท
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 1.5-2 ลิตร/วัน เนื่องจากตัวยาเป็นสารอุ้มน้ำ เมื่อฉีดแล้วจะทำให้ตัวยากลืนไปกับผิวได้เร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงการบีบ นวด กด จับในบริเวณที่ฉีด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เนื่องจากอาจทำให้เกิดรอยแดงได้มากขึ้นและอาจไปกระแทกในบริเวณที่ฉีดได้
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 1สัปดาห์ เนื่องจากอาจเพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือด ทำให้แผลบวมและช้ำนานกว่าปกติ
สิวเกิดจากอะไร?
สิว – เกิดจากความผิดปกติของรูขุมขนและต่อมเหงื่อ ที่เกี่ยวข้องกับการอุดตันภายในรูขุมขนจากการผลัดเซลล์ผิว น้ำมัน หรือไขมันถูกขับออกจากต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนังที่มากผิดปกติ ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน และเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C.acnes) ที่อาศัยอยู่บริเวณรูขุมขนก็จะเพิ่มจำนวนในบริเวณรูขุมขนที่มีการอุดตันมากขึ้น จนทำให้เกิดสิวขึ้นในที่สุด
อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นที่กระตุ้นให้เกิดการผลิตน้ำมันมากกว่าปกติ ได้แก่ กรรมพันธุ์ ฮอร์โมน และปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดสิวมากขึ้นด้วย เช่น ฝุ่นละออง การแต่งหน้า เหงื่อ การทำความสะอาดหน้าที่ไม่สะอาดพอ ก็เป็นตัวส่งเสริมในการเกิดสิวมากขึ้นนั่นเอง
บริเวณที่มักเกิดสิว มีจุดใดบ้าง?
- จุดต่างๆ บนใบหน้า เช่น สิวที่หน้าผาก สิวที่จมูก สิวที่แก้ม สิวที่ปาก สิวที่คาง
- สิวบนใบหูหรือรอบใบหูทั้งสองข้าง
- สิวขึ้นที่หนังศีรษะและกรอบหน้าผาก
- สิวบริเวณคอ และหน้าอก
- สิวที่หลัง หรือหัวไหล่
สิวจากความเครียดมักจะขึ้นตรงจุดไหน?
โดยปกติแล้วสิวสามารถขึ้นได้ทุกที่บนร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น บริเวณใบหน้า ใบหู คอ หน้าอก แผ่นหลัง และแขน ซึ่งความเครียดก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสิวได้ง่าย เนื่องจากเมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะผลิตฮอร์โมนบางชนิดมากขึ้น เช่น ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgens) และฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันส่วนเกินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวมีน้ำมันและเกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดสิวได้ง่ายนั่นเอง
สิวมีกี่ประเภท?
สิว สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่
- สิวอุดตันหัวขาว เป็นตุ่มเม็ดเล็กๆ สีขาวอยู่ภายใต้ผิวหนัง เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว
- สิวอุดตันหัวดำ เป็นตุ่มนูนสีดำเล็กๆ เกิดจากไขมันส่วนเกินและเซลล์ที่ตายแล้วอุดตันที่รูขุมขนแล้วเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจน จนทำให้หัวสิวกลายเป็นจุดสีดำ
- สิวตุ่มแดง สิวตุ่มแดงขนาดเล็ก ไม่มีหัวสิว เกิดจากการอุดตันในรูขุมขน ทำให้เกิดการบวมแดงขึ้นมา และเป็นสิวที่ไวต่อการสัมผัส ถ้ายิ่งบีบจะทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียและอักเสบมากยิ่งขึ้น
- สิวอักเสบ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงขนาดใหญ่ หากสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ เกิดจากสิวอุดตันที่มีเชื้อแบคทีเรีย C.acnes เจริญเติบโตในตุ่มสิว ทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมา
- สิวหัวหนอง เป็นสิวที่ลุกลามมาจากสิวอักเสบ มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ บวม และมีหนองอยู่ตรงกลาง หากกดหรือบีบออกจะทำให้เกิดรอยแผลและรอยดำได้ง่าย
- สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ หากสัมผัสจะรู้สึกแข็งเป็นไตและเจ็บมาก เกิดจากสิวอุดตันที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน โดยสิวชนิดนี้มักอยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนังและอาจมีหนองปนเลือด ซึ่งจะรักษาได้ยากกว่าสิวประเภทอื่น
สิวผด vs สิวอุดตัน ต่างกันยังไง?
สิวผด vs สิวอุดตัน ต่างกันยังไง?
- สิวผด
- ความจริงแล้ว สิวผด หรือสิวเทียม ไม่ใช่ ‘สิว’ จัดเป็นผื่นประเภทหนึ่งที่เกิดจากอาการแพ้ หรือระคายเคืองจากแสงแดด ฝุ่นละออง เครื่องสำอาง รวมไปถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอ และการแพ้อาหารบางชนิด
- มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเม็ดเล็กๆ ไม่มีหัว หากสัมผัสจะรู้สึกสากมือ หรือผิวไม่เรียบเนียน ซึ่งบางรายอาจมีอาการคันร่วมด้วย
- สิวอุดตัน
- สิวอุดตันเกิดจากการที่รูขุมขนอุดตันจากสิ่งสกปรกตกค้างบนใบหน้า และการที่ผิวผลิตน้ำมันมากเกินไปผสมกับเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันขึ้นในบริเวณรูขุมขน
- สิวอุดตัน แบ่งออกเป็นสิวอุดตันหัวขาวและหัวดำ และมีโอกาสลุกลามกลายเป็นสิวอักเสบได้
- มีลักษณะเป็นตุ่มนูนออกมาจากผิวหนัง เมื่อสัมผัสโดนจะรู้สึกถึงความไม่เรียบ จะไม่มีอาการเจ็บ ปวด บวม หรือคัน
สิวอักเสบมีลักษณะเป็นยังไง?
สิวอักเสบ จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง หรือมีความแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรง ซึ่งหากไม่มีอาการอักเสบรุนแรงมากจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงแบบมีหัวสิว หรือไม่มีหัวสิวก็ได้ ไปจนถึงสิวอักเสบแบบรุนแรงมากก็จะมีลักษณะเป็นสิวอักเสบก้อนลึกและมีตุ่มหนองร่วมด้วย และมักก่อให้เกิดความเจ็บปวดไปทั่วบริเวณที่มีสิว
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสิวฮอร์โมน?
- สิวฮอร์โมนในเพศหญิง
- สิวฮอร์โมนในเพศหญิงมักจะเกิดขึ้นในช่วงก่อนหรือหลังมีประจำเดือน ประมาณ 1 สัปดาห์
- การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนอย่างรวดเร็วในช่วงของการตั้งครรภ์ ทำให้สิวฮอรโมนเห่อขึ้นมาก
- หลังจากหยุดยาคุมกำเนิด
- ในช่วงวัยก่อนหมดประจำเดือนและวัยหมดประจำเดือน
- สิวฮอร์โมนในเพศชาย
- มักพบในช่วงวัยรุ่น เพราะร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเพศชาย “แอนโดรเจน (Androgens)” เพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดสิวฮอร์โมนขึ้นมา
- มักจะมีสิวเห่อมากขึ้นในช่วงที่มีความเครียดสะสม และพักผ่อนไม่เพียงพอ
- สิวฮอร์โมนสามารถเป็นได้ทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน
- มักมีสิวเห่อขึ้นบริเวณเดิมซ้ำๆ หรือบางรายอาจมีสิวขึ้นทั่วใบหน้า
- สิวฮอร์โมนมักจะขึ้นบริเวณรอบปาก คาง กราม หรือบริเวณกรอบหน้า แผ่นหลังและหน้าอก
กดสิวอุดตันเองที่บ้าน ทำไมบริเวณที่กดสิวมักจะมีอาการอักเสบตามมา?
- การกดสิวอุดตันด้วยตัวเอง หากทำไม่สะอาด หรือกดออกไม่ถูกวิธี จะทำให้สิวอุดตันที่มีขนาดเล็ก สามารถกลายเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ขึ้นได้
- เมื่อกดสิวไม่ถูกวิธีอาจทำให้กดหัวสิวออกไม่หมด ก็จะยิ่งทำให้เชื้อโรคและสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิวได้ง่าย จึงเพิ่มโอกาสทำให้เกิดสิวอักเสบเห่อมากขึ้น
- การใช้อุปกรณ์กดสิวหรือใช้น้ำหนักมือไม่เหมาะสม จะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดอาการบาดเจ็บและเกิดการอักเสบและรอยแดงตามมา
- เพื่อป้องกันการอักเสบและรอยแดงจากสิว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางรักษาสิวอย่างถูกวิธี
สวมหน้ากากอนามัย ทำให้สิวขึ้นเยอะจริงไหม?
- การสวมหน้ากากอนามัยอันเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สิวขึ้นเยอะจริง เนื่องจากหน้ากากอนามัยจะเกิดการเสียดสีกับใบหน้าของเราเมื่อมีการขยับใบหน้า ทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบจนเป็นสิวตามมา
- หน้ากากอนามัยจะทำให้เกิดความชื้น ซึ่งเกิดจากเหงื่อ หรือละอองจากการไอจาม ทำให้เกิดการสะสมของของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกภายในหน้ากากอนามัยมากกว่าปกติ จึงก่อให้เกิดเชื้อโรคและเกิดสิวได้
- การป้องกันโอกาสในการเกิดสิว ควรเปลี่ยนหน้ากากระหว่างวันเมื่อมีความชื้น
การแต่งหน้าทำให้เกิดสิวอุดตันไหม?
การแต่งหน้าบ่อยๆ หรือแต่งหน้าจัดตลอดเวลาอาจทำให้เกิดสิวอุดตันได้ เพราะการใช้เครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นรองพื้น ครีมกันแดด หรือแป้งผสมครีมรองพื้น และผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมัน แล้วทำความสะอาดผิวหน้าไม่ดีพอ จะทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกหรือการสะสมของเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้า ก็สามารถทำให้เกิดสิวอุดตันและเกิดอาการอักเสบเป็นสิวตามมาได้
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสิวอุดตัน คือ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม และพาราเบน แล้วเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า Non-Comedogenic, Oil-Free เพราะจะไม่ก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมชน และควรล้างหน้าให้สะอาดหมดจดด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับการล้าง Make up โดยเฉพาะ
บีบสิวแล้วบวม เกิดจากสาเหตุอะไร?
การบีบสิว หรือกดสิว จะทำให้ผิวถูกรบกวนจนเกิดเป็นการระคายเคืองและอักเสบตามมา เนื่องจากเมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบจะทำให้เม็ดเลือดขาวเข้ามาป้องกันเชื้อโรค จึงเกิดอาการบวมแดงหลังจากบีบสิวหรือกดสิวขึ้นมานั่นเอง
ทั้งนี้ หากมีสิวไม่ควรบีบ แคะ แกะ หรือสัมผัสบริเวณที่เป็นสิว เพราะจะทำให้สิวมีอาการอักเสบรุนแรงขึ้นกว่าเดิมได้
นอนดึกทำให้สิวขึ้นจริงไหม?
การนอนดึก หรือพักผ่อนน้อย เป็นหนึ่งปัจจัยที่มีแนวโน้มทำห้สิวเห่อขึ้น เนื่องจากการนอนดึกจะเกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียดเลือดและต่อมน้ำเหลือเหลืองให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นมา
รวมทั้งการพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น ต่อมไขมันจึงต้องผลิตน้ำมันมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อพยายามรักษาความชุ่มชื้นบนผิวหน้า จึงส่งผลให้หน้ามันเยิ้มแล้วเกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งมีโอกาสเป็นสิวอุดตันและสิวอักเสบลุกลามได้ง่ายด้วย
ข้อแนะนำจึงควรเข้านอนก่อน 22:00 น. หรือไม่เกิน 24:00 น. เพราะช่วงเวลา 22:00 น. – 02.00 น. ร่างกายจะสร้างโกรทฮอร์โมนออกมาซ่อมแซมเซลล์ผิวใหม่ขณะหลับ ซึ่งจะช่วยให้ผิวแข็งแรงและดูสดใส อีกทั้งควรพักผ่อนให้ได้ 6-8 ชั่วโมง/วัน
ผิวไม่แข็งแรง เป็นสิวง่าย ดูแลอย่างไรดี?
ผู้ที่มีผิวไม่แข็งแรง เป็นสิวง่าย ผิวอักเสบง่าย หรือผิวมันมากกว่าปกติ แนะนำให้ดูแลผิวของตัวเองดังนี้
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนและมีส่วนผสมมอบความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ดี เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid), เซราไมด์ (Ceramides), กลีเซอรีน (Glycerin) เป็นต้น
- ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารเคมี พาราเบน สารแต่งสี และน้ำหอม เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการอักเสบระคายเคือง
- ปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA ที่เหมาะสมเป็นประจำ เพื่อช่วยให้ผิวได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่
- ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
- ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน หรือเบามือ เพื่อไม่ทำให้ผิวถูกเสียดสีและเกิดการระคายเคือง
- ทำความสะอาดผิวให้สะอาดหมดจด เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกหรือสิ่งตกค้างบนผิว
- ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินสูง อย่างเช่น วิตามิน C, B12, B2, B6 หรือแมกนีเซียม เพื่อบำรุงผิวให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก
- หมั่นทำความสะอาดสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่ต้องสัมผัสผิวหน้าอย่างเป็นประจำ เช่น แปรงแต่งหน้า, ปลอกหมอน, ผ้าห่ม, ผ้าปูที่นอน, ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าเช็ดตัว เป็นต้น เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบดทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เกิดสิวได้ง่าย
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดจนเกินไป เพราะปัจจัยเหล่านี้จะลดการเกิดสิวได้
เป็นสิวอักเสบใช้ครีมกันแดดได้ไหม?
เป็นสิวอักเสบใช้ครีมกันแดดได้ไหม?
สามารถทาครีมกันแดดได้ เพราะการใช้ครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นคนเป็นสิวก็ยังคงมีความจำเป็นอยู่เช่นเดียวกัน แต่ควรเลือกครีมกันแดดแบบ Physical Sunscreen
โดยครีมกันแดดแบบ Physical Sunscreen คือ ครีมกันแดดที่ทำหน้าที่คล้ายเกราะสะท้อนรังสี UV ให้กระจายออกไปจากผิว เมื่อทาแล้วจะเคลือบอยู่บนผิว ถูกดูดซึมเพียงเล้กน้อย และไม่มีสารเคมี ไม่ทำให้ระคายเคือง รวมทั้งไม่เพิ่มความมันบนใบหน้า ลดโอกาสอุดตันในรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว
สิ่งที่ควรทำ เพื่อป้องกันการเกิดสิวอักเสบ?
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่เป็นสิว เพราะจะเสี่ยงให้สิวยิ่งมีความอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรียจากมือที่สกปรกมากยิ่งขึ้น
- งดการบีบสิวที่พึ่งขึ้น เพราะการบีบสิวจะทำให้เกิดการอักเสบได้ง่ายมากขึ้น แล้วเกิดเป็นสิวอักเสบได้ในที่สุด
- หลีกเลี่ยงแสงแดด เนื่องจากแสงแดดสามารถกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการมีผิวมันก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวนั่นเอง
- ควรดูแลความสะอาดผิวจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งตกค้างที่จะไปอุดตันรูขุมขน และควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง หรือระคายเคือง และควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำมัน
- หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน และอาหารที่มีรสหวานจัด เพราะอาหารเหล่านี้จะกระตุ้นการเกิดสิวมากขึ้น
- ควรเปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรก น้ำมัน และแบคทีเรียได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึกจนเกินไป เพราะจะช่วยให้ Growth Hormone ที่หลั่งขณะที่เรานอนหลับสามารถทำงานซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวของเราได้เต็มที่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย และปรับปรุงระบบการไหลเวียนโลหิตให้ทำงานได้ดีขึ้น
- จัดการความเครียด หรือทำสมาธิ เพื่อปรับสมดุลของระดับฮอร์โมนและลดความเสี่ยงของการเกิดสิวจากความเครียดได้
วิธีรักษาสิว และรักษารอยสิว?
- รอยดำจากสิวหายเองได้ไหม
โดยปกติแล้วรอยดำจากสิวจะสามารถจางลงได้เองตามธรรมชาติ ภายใน 4-6 เดือน หรืออาจจะนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับระดับของรอยดำแต่ละบุคคล - วิธีรักษารอยดำจากสิวทำอย่างไรได้บ้าง
แม้รอยดำสามารถหายได้เอง แต่จะใช้ระยะเวลานาน ซึ่งสำหรับใครที่ต้องการให้รอยดำจากสิวจางลงเร็วขึ้น สามารถใช้ตัวช่วย อย่างเช่น การทาครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี AHA BHA หรือใช้หัตถการ เช่น การทำทรีตเมนต์ผิว หรือการรักษาด้วยเลเซอร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ทางที่ดีแนะนำให้เข้าปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการประเมินปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไขและหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลอย่างตรงจุด - รักษาสิวที่ Doctorlife Clinic มีโปรแกรมอะไรบ้าง?
โปรแกรมที่จะช่วยลดเลือนสิว หรือดูแลในเรื่องสิวของ Doctorlife Clinic มีดังนี้- โปรแกรมรักษาสิว 5 ขั้นตอน
เป็นโปรแกรมที่จะช่วยลดปัญหาสิวซ้ำซาก แก้ปัญหารูขุมขนอุดตัน ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้น และช่วยควบคุมความมัน โดยมี 5 ขั้นตอน ได้แก่
- คลีนหน้า หรือทำความสะอาดผิวหน้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรก ฝุ่นควัน หรือเครื่องสำอางตกค้าง
- กดสิวอุดตัน เพื่อลดโอกาสกลายเป็นสิวอักเสบที่อาจรักษาได้ยากขึ้น
- ฉายแสงด้วยนวัตกรรมแสงสีฟ้า (Blue Light) เพื่อฆ่าเชื้อสิว ลดการอักเสบของสิว และตัดวงจรสิว
- มาส์กหน้า เพื่อลดการอักเสบของสิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
- ลงเซรั่มบำรุงผิว เพื่อช่วยควบคุมสมดุลความมันบนใบหน้า ลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ พร้อมป้องกันผิวจากแสงแดดและมลภาวะ
- Acne Clear Laser
โปรแกรมที่จะช่วยยับยั้งการเกิดสิว สิวอุดตัน ลดสิวอักเสบ ฆ่าเชื้อสิว C.acnes พร้อมช่วยฟื้นฟูรอยดำและรอยแดงจากสิว เพื่อให้ผิวกลับมาเนียนใส สีผิวดูสม่ำเสมอ
- Pico Laser
เป็นโปรแกรมที่จะช่วยแก้ปัญหาสิวที่หน้าและสิวที่หลังได้ดี โดยการใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์ที่มีความถี่สูงในการทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติ ช่วยกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้รอยจุดด่างดำจากสิวอักเสบจางลง ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
สิวที่คาง เกิดจากอะไร?
- ทำไมถึงเป็นสิวที่คาง?
สิวที่คาง สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากฮอร์โมน พันธุกรรม การระคายเคืองจากการสวมหน้ากากอนามัยที่เป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง ความอับชื้น ฝุ่น และมลภาวะ ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดการอักเสบเป็นสิวที่คางได้ง่าย - สิวที่คางเห่อ เกิดจากฮอร์โมนจริงหรือไม่?
จริง การเกิดปัญหาสิวเห่อที่คางหนักมากเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเป็นส่วนใหญ่ โดยการทำงานผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชาย อย่างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) เพิ่มสูงขึ้น แล้วทำให้ต่อมไขมันบนใบหน้าผลิตน้ำมันมากขึ้นจนเกิดการอุดตันในรูขุมขนและเกิดเป็นสิวที่คางในที่สุด
รวมทั้งผู้หญิงในช่วงที่มีประจำเดือน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ออกมามาก แล้วกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากเช่นกัน ซึ่งจะทำให้เพิ่มจำนวนของเชื้อแบดทีเรียและทำให้มีโอกาสเกิดสิวอักเสบที่คางเห่อขึ้นมากกว่าเดิมด้วย - การป้องกันไม่ให้เกิดสิวที่คางซ้ำๆ ด้วยตัวเองทำอย่างไรได้บ้าง?
- ล้างหน้าให้สะอาดหลังใช้เครื่องสำอาง เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรก
- ควรล้างหน้าทุกวัน วันละ 2 ครั้ง และไม่ล้างบ่อยเกินไป เพราะทำให้หน้าแห้งและเป็นการกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันได้
- ควรล้างยาสระผมและครีมนวดผมให้สะอาด เพื่อช่วยลดสิวที่คางและสิวกรอบหน้า
- แนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยลดสิว หรือหน้ากากอนามัยที่อ่อนโยนต่อผิว และขนาดกระชับพอดีกับใบหน้า เพื่อลดการระคายเคืองที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวที่คาง
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ไม่นอนดึกเกินไป พักผ่อนให้เพียงพอ ลดเครียด และออกกำลังกาย เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาลสูง
- หลีกเลี่ยงการนั่งเท้าคาง ลูบคาง หรือสัมผัสบริเวณคางบ่อยๆ
- แนะนำให้ใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ระบุว่า ‘Non-comedogenic’ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการอุดตันและระคายเคืองผิวหน้า
สิวที่หลัง เกิดจากอะไร?
- สิวที่หลัง เกิดจากอะไร?
เกิดจากการอุดตันของระบบต่อมไขมันในรูขุมขนจากผิวหนังที่ตายแล้วและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสิวที่หลังจะมีตัวกระตุ้นเพิ่มเติมที่ทำให้เกิดเป็นสิวอุดตัน แล้วกลายเป็นสิวอักเสบ และสิวตุ่มหนองตามมาได้ง่าย ได้แก่- เหงื่อ หรือสิ่งสกปรกผสมเข้ากับน้ำมันบนผิว
- การสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น ระบายอากาศได้ไม่ดีพอ จนทำให้เกิดการอับชื้นหมักหมม
- การทาครีมหรือโลชั่นบางชนิดอาจทำให้รูขุมขนอุดตันได้
- เส้นผมที่ปรกบริเวณแผ่นหลังที่มีน้ำมันและสิ่งสกปรกสะสม
- การเสียดสีจากเสื้อผ้าบริเวณแผ่นหลัง ทำให้ผิวอักเสบและระคายเคือง จนเกิดเป็นสิวที่หลังตามมาได้ง่าย
- การใส่ชุดนอนตัวเดิมซ้ำๆ จนทำให้เกิดคราบเหงื่อและความอับชื้นสะสม
- เช็ดตัวไม่แห้งหลังอาบน้ำ จะทำให้เกิดแบคทีเรียสะสมบริเวณแผ่นหลังได้ง่าย
- สิวที่หลังบีบได้ไหม?
การบีบสิวที่หลัง เป็นวิธีที่ไม่ควรทำด้วยตัวเอง เนื่องจากจะทำให้เกิดบาดแผลแล้วทำให้เชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิวได้ง่าย ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้บริเวณที่เป็นสิวที่หลังเกิดการอักเสบติดเชื้อและเป็นสิวที่รุนแรงมากขึ้นได้
ดังนั้น ไม่ควรบีบหรือกดสิวที่หลังด้วยตัวเอง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่เป็นสิวที่หลังด้วย แต่หากต้องการรักษาปัญหาสิวที่หลังควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาแนวทางในการดูแลปัญหาสิวที่หลังอย่างถูกวิธี - สิวที่หลัง รักษายังไงดี?
- วิธีการรักษาสิวที่หลัง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินระดับปัญหาสิวที่หลังของแต่ละบุคคล และเพื่อหาวิธีรักษาสิวที่หลังที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลด้วย เพราะหากรักษาด้วยตัวเองไม่ถูกวิธี อาจทำให้ทิ้งรอยแผลเป็น หรือเป็นหลุมสิวได้
- รักษาความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอน หรือปลอกหมอน เพื่อลดการสะสมของฝุ่นละออง เหงื่อ และสิ่งสกปรก ที่อาจะทำให้เกิดการอุดตันบนแผ่นหลังได้
- ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่น เพื่อลดการเสียดสีระหว่างแผ่นหลังกับเสื้อผ้า และเพื่อให้ระบายอากศได้ดีมากขึ้น
- ถ้าออกกำลังกายเสร็จแล้ว ควรรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้เร็วที่สุด เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรียบนผิวหนัง
- แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยน เพื่อลดการอุดตันในรูขุมขน
- แนะนำให้สระผมในช่วงตอนเย็น เพื่อทำความสะอาดคราบมัน เหงื่อไคล และสิ่งสกปรกที่ติดบนเส้นผมมาตลอดทั้งวัน และควรเป่าให้แห้งก่อนนอน
สิวขึ้นบนใบหู เกิดจากอะไร?
- สิวขึ้นบนใบหู หรือรอบใบหูทั้งสองข้าง เกิดจากอะไร?
สาเหตุสำคัญที่มักทำให้สิวขึ้นบนใบหู ได้แก่
- ไม่รักษาความสะอาดบริเวณใบหูทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย
- ชำระล้างยาสระผม หรือสบู่ บริเวณใบหูไม่ดี ทำให้ฟองตกค้างอยู่ที่ซอกหู ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกได้ง่าย
- ไม่ทำความสะอาดปลอกหมอน หรือที่นอน ซึ่งเป็นแหล่งสะสมฝุ่นผสมกับเหงื่อไคล และน้ำลาย
- ใช้หูฟังที่ไม่ทำความสะอาด หรือชอบใช้หูฟังร่วมกับคนอื่น ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียแล้วทำให้เกิดสิวได้
- แพ้ยาสระผม ครีมนวดผม หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ
- สิ่งสกปรกจากการใช้โทรศัพท์เวลาแนบหู
- การสวมหน้ากากอนามัยซ้ำๆ
- สิวที่หูบอกโรคอะไร? ปัญหาการเกิดสิวอักเสบที่หู อาจสันนิษฐานได้ว่าเกี่ยวข้องกับภาวะการทำงานที่ผิดปกติของไต ทำให้ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ดีเท่าปกตินั่นเอง แต่ไม่ใช่ทุกกรณีที่เกิดสิวบนใบหูแล้วจะต้องเป็นโรคร้ายแรง ถ้าหากไม่แน่ใจหรือมีสิ่งปกติเกิดขึ้นมากกว่าสิว แนะนำให้ปรึกษากับแพทย์เพื่อตรวจสอบอาการที่แน่ชัด
- การดูแลป้องกันสิวที่หูทำอย่างไรได้บ้าง?
- ล้างหูด้วยสบู่อ่อนๆ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ระหว่างอาบน้ำ เพื่อลดการสะสมของความมัน เหงื่อ แบคทีเรีย และเซลล์ผิวหนังที่ตาย
- ควรทำความสะอาดผ้าเช็ดหน้า ผ้าปูที่นอน และปลอกหมอน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียสาเหตุทำให้เกิดสิวที่หู
- หลีกเลี่ยงการแกะ บีบ หรือสัมผัสบริเวณใบหูที่เป็นสิว เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้สิวที่หูอักเสบมากขึ้น
- ควรทำความสะอาดหูฟัง ต่างหู หรือเครื่องประดับที่ใช้บริเวณใบหูอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรก
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสระผม หรือโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของพาราเบนและซิโคน เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันในบริเวณหูได้ง่าย
เหนียง มีลักษณะอย่างไรบ้าง?
เหนียง เป็นไขมันที่สะสมอยู่บริเวณใต้คาง มีลักษณะเป็นผิวหนังหย่อนคล้อยลงมา ทำให้ดูเหมือนมีคางสองชั้น (Double Chin) สามารถสังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากภายนอก ซึ่งเหนียงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือเป็นคนที่มีรูปร่างผอมเพรียวก็มีปัญหาเหนียงออกได้
เหนียง เกิดจากอะไร?
เหนียง หรือไขมันสะสมใต้คาง สามารถเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่
- กรรมพันธุ์ หากคนในครอบครัวมีผิวหนังที่มีความยืดหยุ่นน้อย ผิวหนังไม่เต่งตึง ส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะมีเหนียงมากกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากมีโครงสร้างใบหน้าและคอที่เอื้อต่อการสะสมไขมันบริเวณนี้
- อายุ เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ผิวหนังจะสูญเสียคอลลาเจน ทำให้ความยืดหยุ่นลดลง และเกิดเป็นผิวหย่อนคล้อย ส่งผลทำให้เกิดเหนียงได้ง่ายขึ้น รวมทั้งระบบเผาผลาญก็จะต่ำลง ทำให้เกิดไขมันสะสมได้ง่ายอีกด้วย
- น้ำหนักเพิ่มขึ้น คนที่มีน้ำหนักตัวมากมักจะมีไขมันสะสมบริเวณคอและใบหน้ามากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวน้อย จนเห็นเป็นเหนียงที่ชัดเจน
- การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ผู้ที่น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วอาจทำให้ผิวหนังบริเวณคอและใบหน้าหย่อนคล้อยลง จนเกิดเป็นเหนียงได้
- พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ท่าทางการใช้งานกล้ามเนื้อคอและใบหน้า เช่น การก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคออ่อนแรงและเกิดเป็นรอยพับใต้คาง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดเหนียงโดยไม่รู้ตัว
- คางสั้น คนที่มีปัญหากระดูกคางสั้น จะทำให้เห็นเหนียงได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อผิวขาดความกระชับ เกิดความหย่อนคล้อย ปลายคางของเราจะเชื่อมกับลำคอ เมื่อมองมาแล้วจะเหมือนเป็นส่วนเดียวกัน ทำให้ดูมีเหนียงเยอะกว่าคนที่มีคางที่ได้สัดส่วน
- การรับประทานอาหาร ผู้ที่มักชอบรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล อาหารไขมันสูง หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทของทอด ของมัน ขนมกรุบกรอบ อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป ชากาแฟ และน้ำหวานต่างๆ ในปริมาณมากเกินความต้องการ และไม่มีการออกกำลังกาย จะทำให้เกิดการสะสมของชั้นไขมันตามร่างกายมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณใต้คางจนทำให้เกิดเหนียงขึ้นมา
- การสูบบุหรี่ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่จะทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเกิดความหย่อนคล้อยและเกิดเหนียงได้ง่ายขึ้น
วิธีเช็คเหนียง หรือไขมันใต้คางเยอะมาก ทำอย่างไร?
การสังเกตว่าตัวเองเริ่มมีเหนียงหรือไขมันใต้คางเยอะขึ้น ทำได้ดังนี้
- ส่องกระจกแล้วให้ลองก้มหน้าเล็กน้อย ถ้าเริ่มมีไขมันสะสมที่ใต้คางก็จะเห็นเป็นคางซ้อนสองชั้นได้
- ลองใช้มือหยิบเนื้อผิวหนังใต้คางแล้วพบว่ามีก้อนไขมันหรือผิวหย่อนคล้อยยื่นออกมาจากใต้คาง
- เมื่อถ่ายรูปใบหน้าของตัวเองจากทั้งมุมตรงและมุมข้างแล้วไม่เห็นกรอบหน้า แต่รู้สึกว่าใบหน้าดูอวบขึ้น
วิธีลดเหนียงใต้คางด้วยตัวเอง ทำอย่างไรได้บ้าง?
วิธีลดเหนียงด้วยตนเองจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ก็ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและอาจใช้ระยะเวลานานในการเห็นผลลัพธิ์พอสมควร ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
- ลดเหนียงด้วยท่าบริหารใบหน้าง่ายๆ เช่น ท่ายืดกราม โดยการเงยหน้าขึ้นมองเพดาน แล้วพยายามยื่นคาง หรือยืดคอไปข้างหน้าให้ได้มากที่สุดจนรู้สึกว่าใต้คางตึง จากนั้นให้ทำท่านี้ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที
- ควบคุมอาหาร โดยการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อในปริมาณที่พอดี และให้เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารที่มีไขมันสูง มีน้ำตาลสูง หรือหลีกเลี่ยงอาหารประเภทของทอดของมัน และอาหารแปรรูปทุกชนิด เพื่อลดการก่อตัวและสะสมของไขมัน
- ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ผิวกระชับและเต่งตึงขึ้นได้ทั่วร่างกาย รวมทั้งบริเวณเหนียงใต้คางก็จะกระชับขึ้นด้วย และช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น
- สามารถลดเหนียงด้วยการบริหารกล้ามเนื้อโดยการเคี้ยวหมากฝรั่ง แต่ทั้งนี้ก็ต้องระมัดระวังอย่าเคี้ยวบ่อยมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดปัญหากรามใหญ่แทนได้
ใช้ลูกกลิ้งลดเหนียงใต้คางได้ไหม?
การใช้ลูกกลิ้งนวดหน้า หรือหินกัวซา เป็นตัวช่วยในการลดเหนียงได้ รวมถึงช่วยในการไหลเวียนของโลหิตบริเวณหน้าดีขึ้นและทำให้ผิวตึงกระชับด้วย แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และต้องอดทนรอการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งกว่าจะเห็นผล
นอกจากนี้ต้องใช้อย่างถูกวิธี ระวังเรื่องการลงน้ำหนักระหว่างใช้ เพราะอาจทำให้เกิดอาการอักเสบระคายเคืองได้ อีกทั้งหากดูแลลูกกลิ้งไม่สะอาดพอก็อาจส่งผลทำให้สิวขึ้นตามมาได้อีกด้วย
ออกกำลังกายสามารถลดเหนียงใต้คางได้ไหม?
ได้ แต่จะต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และต้องใช้ความอดทนสูง เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผลว่าเหนียงที่คอลดลงอย่างชัดเจน
ลดเหนียง ด้วยโปรแกรมสลายไขมันเหนียง Fat Killer คืออะไร?
โปรแกรม Fat killer ที่ Doctorlife Clinic เป็นโปรแกรมที่จะช่วยลดไขมันในชั้นไขมันและลดเซลลูไลท์บริเวณใต้คาง หรือเหนียงแบบไม่ต้องผ่าตัด เพื่อทำให้เห็นกรอบหน้าชัดขึ้น โดยไขมันที่สลายจะถูกขับออกมาตามกลไกการขับของเสียตามธรรมชาติของร่างกาย และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่แทนที่ชั้นไขมัน ทำให้สัดส่วนบริเวณใต้คางดูกระชับขึ้นได้รูปตามต้องการ
โปรแกรมสลายไขมันเหนียง Fat Killer เหมาะกับใคร?
โปรแกรม Fat Killer เหมาะสำหรับ
- ผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินสะสมบริเวณเหนียงใต้คาง หรือมีคางสองชั้น
- ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง น้ำหนักตัวเกิน หรือมีไขมันสะสมเฉพาะจุด
- ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดหรือดูดไขมัน
- ผู้ที่ไม่อยากเสียเวลาพักฟื้นนาน
ข้อดีของโปรแกรมสลายไขมันเหนียง มีอะไรบ้าง?
- ช่วยสลายไขมันส่วนเกินใต้คาง แก้ปัญหาเหนียงย้อย คางสองชั้น กรอบหน้าไม่กระชับได้ดี
- ใช้เวลาในการทำหัตถการไม่นาน
- ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการดูดไขมัน
- ไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัด ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
- ตัวยาสกัดจากธรรมชาติ มีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย
- ช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินได้รวดเร็วกว่าการออกกำลังกาย หรือควบคุมอาหาร
- ไม่แสบขณะทำหัตถการ
- สามารถทำซ้ำได้ เพื่อให้เห็นผลดียิ่งขึ้น โดยสามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
โปรแกรมสลายไขมันเหนียง มีผลข้างเคียงหรือไม่?
หลังทำโปรแกรมสลายไขมันเหนียง อาจมีอาการบวมช้ำเล็กน้อย โดยเฉพาะผู้ที่ทำครั้งแรกอาจเกิดอาการบวมได้มากกว่าผู้ที่เคยทำมาแล้ว แต่จะสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ
โดยจะค่อยๆ ยุบบวมลงไปเองภายใน 3-4 ชั่วโมง (บางรายอาจมากกว่านั้น) และหายเป็นปกติได้เองภายใน 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับปริมาณยาที่ใช้ สภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังทำด้วย
วิธีดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรมสลายไขมันเหนียง ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร?
- หลังทำโปรแกรมสลายไขมันเหนียง งดกด คลึง นวด บริเวณที่ทำ ประมาณ 3-4 ชั่วโมงเพราะอาจทำให้อักเสบและบวมแดงกว่าเดิม
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อช่วยให้ไขมันถูกขับออกจากร่างกายได้มากขึ้น
- ควรหลีกเลี่ยงการอบซาวหน้า นวดหน้า หรือทำเลเซอร์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- หลังทำหัตถการสามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมได้
- ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ประมาณ 1 สัปดาห์หลังทำ เพื่อไม่ให้อาการบวมช้ำแย่ลง
- แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ลดของทอด ของมัน ของหวาน เพื่อไม่ให้ไขมันส่วนเกินกลับมาสะสมอีก
โปรแกรม Morpheus8 ช่วยลดเหนียงได้อย่างไร?
โปรแกรม Morpheus8 เป็นเครื่องยกกระชับและแก้ปัญหาผิว โดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF (Radio frequency) ที่สามารถปรับระดับความลึกและค่าพลังงาน ผ่านเข็มขนาดเล็กทะลุสู่ชั้นผิวหนัง 1-4 mm ได้ตรงจุดตามปัญหาที่ต้องการรักษาของแต่ละบุคคล ทำให้ผิวหนังเกิดการหดตัว กระตุ้นการจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวชั้นหนังแท้ให้แน่นขึ้น ส่งผลให้เหนียงหรือผิวหนังใต้คางที่หย่อนยานถูกยกกระชับให้เต่งตึงขึ้นและกรอบหน้ามีความชัดขึ้น รวมทั้งช่วยลดรอยเหี่ยวย่นให้จางลงไปด้วย
Morpheus8 เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้ที่ต้องการลดเหนียง ลดแก้ม เพิ่มกรอบหน้าให้ชัดขึ้น
- ผู้ที่ต้องการลดเหนียงโดยไม่ต้องการผ่าตัด
- ผู้ที่ต้องการลดไขมันที่ใบหน้าและต้องการยกกระชับใบหน้าในเวลาเดียวกัน
- ผู้ที่ต้องการให้ผิวเรียบตึง
ผลข้างเคียงของการทำ Morpheus8 เป็นอย่างไร?
- ในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกหลังทำ อาจเกิดอาการบวมแดง หรือรอยช้ำขึ้น เนื่องจากใต้ผิวเกิดความร้อนจากคลื่นวิทยุ ทางคลินิกจะประคบเย็นให้ทันทีหลังทำ
- ภายใน 24 ชั่วโมง รอยแดงจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายกลับสู่สภาพผิวปกติ
- อาจเกิดสะเก็ดบางๆ ตามจุดที่ยิง แต่สามารถหลุดลอกเองได้
** ข้อแนะนำ ให้งดการแกะ เกาบริเวณที่เกิดสะเก็ด เพื่อลดการอักเสบและลดการเกิดรอยแผล
วิธีดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม Morpheus8 ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร?
- หากมีอาการบวมสามารถประคบเย็นทันทีหลังทำ
- ควรหลีกเลี่ยงการโดนน้ำบริเวณที่รักษา หลังทำประมาณ 24 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง การออกกำลังกาย การซาวน่า การว่ายน้ำ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- หลังแผลตกสะเก็ด แนะนำให้หมั่นทามอยเจอไรเซอร์ เพื่อบำรุงผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว
- งดแกะ เกา บริเวณที่เกิดสะเก็ด เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นและป้องกันการติดเชื้อบริเวณที่ทำหัตถการ
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ AHA BHA เรตินอล เรตินอยด์ หรือกลุ่มผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 14 วัน
- หลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่มีความร้อนอย่างการทำเลเซอร์อย่างน้อย 1 เดือน
- เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันส่วนเกินกลับมาสะสมใหม่บริเวณใต้คาง ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน
ลดเหนียงด้วยโปรแกรม Ultra V Lock คืออะไร?
โปรแกรม Ultra V Lock เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่น RF หรือ Radio Frequency ส่งผ่านความร้อนเข้าสู่ผิวชั้นลึกถึงผิวหนังชั้นไขมัน แล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อผิว ช่วยให้ผิวตึงกระชับ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ไปจนถึงกระตุ้นให้เกิดการสลายตัวของไขมัน ช่วยยกกระชับเหนียงย้อยให้เฟิร์มขึ้น พร้อมปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้นด้วย เนื่องจากไขมันลดหายไปนั่นเอง
ข้อดีของโปรแกรม Ultra V Lock มีอะไรบ้าง?
- ยกกระชับผิวหน้าได้ถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
- แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นเฉพาะจุด โดยเฉพาะบริเวณเหนียงใต้คาง
- ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับ
- ลดไขมันสะสมในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้ไขมันใต้ผิวลดลง
Ultra V Lock เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีเหนียงใต้คาง มีไขมันส่วนเกิน หรือต้องการกระชับกรอบหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล่อย ผิวไม่กระชับ
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเรียว
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจน ให้ผิวดูเปล่งปลั่ง
- ผู้ที่กลัวเจ็บจากการผ่าตัดศัลยกรรม หรือไม่มีเวลาพักฟื้นนาน
วิธีดูแลตัวเองหลังทำโปรแกรม Ultra V Lock ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร?
- แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ประมาณ 1.5-2 ลิตร เพื่อขับของเสียและไขมันสะสมออกจากร่างกาย
- ควบคุมอาหาร ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน เพื่อป้องกันไขมันส่วนเกินกลับมาสะสมได้ใหม่
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการขับของเสียออกจากร่างกาย
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เนื่องจากมีสารที่จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด อย่างน้อย 7 วัน และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิว หรือการใช้ AHA ประมาณ 1 สัปดาห์
ดูดไขมันเหนียง อันตรายไหม?
ดูดไขมันเหนียง เป็นการผ่าตัดลดไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คางและลำคอส่วนบน ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยแผลและมีความเสี่ยง ดังนี้
- ความเสี่ยงในการอักเสบและการติดเชื้อบริเวณที่ผ่าตัด
- อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการสะสมของเลือดหรือน้ำเหลืองในบริเวณที่ดูดไขมัน และอาจทำให้ฟื้นตัวช้า
- หลังทำอาจสังเกตเห็นความไม่เรียบหรือความไม่สม่ำเสมอของผิวหนังบริเวณใต้คาง
- หากใช้วิธีการไม่เหมาะสม อาจจะส่งผลให้ผิวไม่กระชับ เนื้อเยื่อเกิดการเสียหาย และเกิดรอยช้ำเขียวเป็นเวลานาน
- การเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาชาหรือยาสลบ
- อาจได้ผลลัพธ์ใบหน้าไม่เท่ากัน
หลังดูดไขมันลดเหนียง บวมกี่วัน?
หลังเข้ารับบริการดูดไขมันเหนียง จะมีอาการบวมประมาณ 1-2 สัปดาห์ และจะค่อยๆ ดีขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ตามลำดับ (บางรายอาจมีอาการบวมเล็กน้อยนาน 2-3 เดือน) ซึ่งระยะเวลาการบวมของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ดูดออก สภาพร่างกาย และการดูแลตัวเองหลังดูดไขมันลดเหนียงด้วย
ดูดไขมันเหนียง ผิวจะย้วยไหม?
หลังดูดไขมันเหนียงแล้วอาจเกิดปัญหาผิวย้วยได้ เนื่องจากผิวหนังมีการยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว จากการดูดไขมันในปริมาณมากเกินไป หรือไขมันหายไปในช่วงเวลาสั้นๆ จึงทำให้เกิดโพรงขนาดใหญ่ แล้วส่งผลให้ผิวหนังเกิดการยุบตัวตามรอยว่าง จึงทำให้ผิวย้วยและไม่เรียบเนียนตามมาได้ ทั้งนี้ หากเกิดปัญหาผิวย้วย ผิวหย่อน ดูไม่กระชับ สามารถแก้ได้ด้วยการใช้โปรแกรม Morpheus8 และ Ultra V Lock ได้
หลังดูดไขมันเหนียงใต้คาง มีโอกาสกลับมาเป็นอีกครั้งไหม?
การดูดไขมันเหนียงถือว่าเป็นการกำจัดไขมันถาวรในบริเวณที่ทำ ซึ่งหากมีการดูแลสุขภาพและรักษาน้ำหนักให้ดี โดยการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้ไขมันกลับมาสะสมเป็นเหนียงใต้คางใหม่ได้
ดื่มแอลกอฮอล์บ่อยทำให้มีเหนียงที่คอเยอะจริงไหม?
การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สามารถทำให้มีเหนียงที่คอได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้น้อยลง จึงทำให้เกิดไขมันสะสมไว้ภายในร่างกายมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนของใบหน้าและเหนียงใต้คาง รวมทั้งการดื่มแอลกอฮอล์ยังทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้ต้องกักเก็บน้ำให้มากขึ้น จนเกิดเป็นอาการบวมน้ำที่หน้า ทำให้หน้าบวม แก้มป่อง และมีเหนียงมากขึ้น
ชอบกินมื้อดึกทำให้เหนียงเยอะใช่หรือไม่?
การชอบรับประทานอาหารในตอนดึก อาจส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารได้ดีเท่าที่ควร เพราะร่างกายไม่ได้นำพลังงานเหล่านั้นไปใช้มากพอที่จะเผาผลาญแคลอรีได้หมด จนเกิดการสะสมไขมันและก่อให้เกิดเหนียงขึ้นมาได้
พุง เกิดจากอะไร?
พุง เกิดจากการสะสมของไขมันในชั้นผิวบริเวณหน้าท้องที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นภาวะที่ระบบการเผาผลาญพลังงานผิดปกติ ส่งผลให้หน้าท้องยื่น พุงป่อง หรือหย่อนคล้อยออกมา โดยมักมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดพุง ดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของหวาน น้ำอัดลม อาหารฟาสต์ฟูด เป็นต้น
- รับประทานไม่เป็นเวลา กินจุบกินจิบตลอดทั้งวัน
- ดื่มแอลกอฮอลล์เป็นประจำ
- ไม่ออกกำลังกาย
- นั่งเป็นเวลานานๆ ไม่ขยับตัว
- ภาวะเครียด
- กรรมพันธุ์
- อายุเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการเผาผลาญน้อยลง
- โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- ความผิดปกติของต่อมไรท่อ เช่น ต้อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์
- คุณแม่หลังคลอด หน้าท้องยืดขยายเป็นเวลานาน หรือถูกไขมันสะสมอยู่นาน
พุงมีกี่แบบ?
พุงของคนเราสามารถจำแนกออกได้เป็น 5 แบบ ซึ่งมีลักษณะดังนี้
- พุงกลม (Alcohol Belly) มีลักษณะกลมป่องและยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีไขมันสะสมจำนานมาก พบมากในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เพราะแอลกอฮอล์มีแคลอรีและน้ำตาลสูง รวมทั้งมีส่วนทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานยากขึ้น
- พุงป่อง (Bloated Belly) มีลักษณะคล้ายพุงกลม แต่พุงจะแบนในช่วงเช้า แล้วจะป่องออกมาในตอนกลางวัน หรือเกิดขึ้นหลังจากทานอาหาร เกิดจากการรับประทานอาหารที่ย่อยยาก หรือมีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก ทำให้มีอาการท้องอืด แน่นท้อง และพุงป่องนั่นเอง
- พุงหมาน้อย หรือพุงป่องช่วงล่าง (Hormonal Belly) มีลักษณะพุงด้านล่างห้อย แต่พุงด้านบนเรียบ เกิดจากพฤติกรรมการชอบทานอาหารหวาน หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง แล้วไม่ออกกำลังกาย หรือนั่งทำงานทั้งวัน ไม่ค่อยขยับร่างกาย
- พุงเครียด (Stressed Belly) หรือ “พุงเป็นชั้น” มีลักษณะพุงเป็นชั้นๆ หน้าท้องบวมอืด ยื่นเป็นชั้นออกมาระหว่างสะดือและกระบังลม เกิดจากสภาวะจิตใจที่มีความเครียด ทำให้พักผ่อนน้อย แล้วส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้การเผาผลาญไขมันลดลง
- พุงคุณแม่ (Mommy Belly) มีลักษณะเป็นก้อนย้วยๆ หรือหน้าท้องที่ยื่นและหย่อนคล้อยลงมา มักพบในกลุ่มคุณแม่หลังคลอด เกิดจากมดลูกยังไม่เข้าที่ดี
พฤติกรรมแบบไหนที่มักทำให้เกิดพุง หรือไขมันหน้าท้อง?
- กินเร็ว พฤติกรรมการกินอาหารเร็ว มีความเสี่ยงที่จะกินอาหารเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ
- กินอาหารที่มีไขมันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นของทอด ของมัน หรือเนื้อสัตว์ที่ติดมันเยอะๆ รวมไปถึงขนมหวานที่มีไขมันทรานส์
- กินอาหารที่มีน้ำตาลเยอะ เช่น ขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม หรืออาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว ขนมปัง อาหารเหล่านี้จะมีน้ำตาลอยู่เยอะเกินกว่าที่ร่างกายจะนำไปใช้พลังงานได้หมด
- กินไปดูทีวีไป อาจจะทำให้เพลิดเพลินกับของกินจนลืมนึกถึงปริมาณน้ำตาลหรือไขมันที่จะได้รับ แล้วทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
- ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ เนื่องจากเครื่องดื่มประเภทนี้จะมีปริมาณของน้ำตาลสูง และขัดขวางการเผาผลาญของไขมัน จนในที่สุดทำให้ร่างกายสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องได้
- ไม่ออกกำลังกาย หรือไม่พยายามขยับเขยื้อนร่างกายบ่อยๆ ทำให้ร่างกายไม่มีการเผาผลาญพลังงานเพียงพอ แล้วเกิดการสะสมไขมันส่วนเกินและพุงล้นขึ้นได้
- กินดึก หรือนอนทันทีหลังกินอาหารเสร็จ โดยที่ไม่เว้นระยะห่างสักประมาณ 2-3 ชั่วโมง ทำให้มีโอกาสที่ร่างกายจะไม่เกิดการเผาผลาญไขมันส่วนเกินออกไป และยังกระตุ้นให้เป็นกรดไหลย้อนได้ด้วย
- พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับ จะส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนเลปตินและฮอร์โมนเกรลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความหิว เมื่อนอนไม่พอจึงทำให้น้ำหนักขึ้นตามมาได้ง่าย
เมื่อไรจะเรียกว่า "อ้วน" หรือ "อ้วนลงพุง" มีวิธีการตรวจสอบอย่างไร?
กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดเกณฑ์การประเมินภาวะอ้วนลงพุง โดยใช้เกณฑ์การประเมิน 2 เกณฑ์ ได้แก่
- ค่าดัชนีมวลกาย (BMI)
เป็นค่าดัชนีความสัมพันธ์ระหว่างส่วนสูงและน้ำหนักตัว โดยมีสูตรคำนวณ คือ
“ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลัง 2”
โดยสามารถแปลผลค่า BMI ซึ่งเป็นเกณฑ์สำหรับประชากรเอเชียตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก ได้ดังนี้- ค่า BMI ต่ำกว่า 18.5 แสดงถึง อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักน้อย หรือผอม
- ค่า BMI 18.5 – 22.90 แสดงถึง อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ค่า BMI 23 – 24.90 แสดงถึง น้ำหนักเกิน
- ค่า BMI 25 – 29.90 แสดงถึง โรคอ้วนระดับที่ 1
- ค่า BMI 30 ขึ้นไป แสดงถึง โรคอ้วนระดับที่ 2
*หมายเหตุ การแปลผลค่า BMI ไม่เหมาะในการใช้ชี้วัดภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มนักกีฬาและนักเพาะกาย
- เส้นรอบเอว
เป็นขนาดของเส้นรอบเอวที่วัดผ่านระดับสะดือ สามารถบ่งบอกถึงความเสี่ยงทางสุขภาพได้ โดยเกณฑ์เส้นรอบเอวที่เหมาะสม คือ ไม่ควรเกินส่วนสูง (เซนติเมตร) หารด้วย 2 หรือ- ผู้ชาย ไม่ควรเกิน 90 ซม. (36 นิ้ว)
- ผู้หญิง ไม่ควรเกิน 80 ซม. (32 นิ้ว)
หากมีเส้นรอบเอวเกินเกณฑ์ อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนลงพุง หรือโรคต่างๆ ตามมาได้
กินน้อย แต่ทำไมยังมีพุง มีหน้าท้อง?
กินน้อยแต่มีหน้าท้อง หรือผอมแต่มีพุง อาจจัดอยู่ในกลุ่มของพุงกลม (Alcohol Belly) และพุงหมาน้อย หรือพุงป่องช่วงล่าง (Hormonal Belly) คือ น้ำหนักตัวไม่เกินค่าดัชนีมวลกาย (BMI) หรืออยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งมักเกิดจากการชอบทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลและไขมันสูง เช่น เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม น้ำหวาน และของทอดของมัน ทำให้เกิดไขมันสะสมที่ท้องได้ง่าย และดูมีพุงยื่นหรือพุงป่องออกมาอย่างเห็นได้ชัด
พุงแบบไหนลดยาก?
ลักษณะของพุงที่ลดได้ยาก คือ พุงกลม (Alcohol Belly) เนื่องจากเป็นพุงที่มีการสะสมของ*ไขมันใต้ผิวและไขมันในช่องท้องมาก ทำให้ลดได้ยาก และเป็นลักษณะพุงที่ทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพต่างๆ ตามมาได้ง่าย เช่น โรคความดังโลหิตสูง และโรคเบาหวาน
*โดยไขมันในร่างกายของเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่
- ไขมันใต้ผิว (Subcutaneous Fat) เป็นไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังส่วนบน เหนือต่อจากกล้ามเนื้อ
เกิดจากพลังงานส่วนเกินที่หลงเหลืออยู่จากการที่เรารับประทานอาหารเข้าไปเยอะ แล้วร่างกายไม่ได้เกิดการเผาผลาญไขมันออกไป - ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) อยู่ใต้อวัยวะภายในและกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งจะอยู่ลึกจึงถูกกำจัดออกไปได้ยาก ทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าไขมันใต้ผิว เพราะอาจแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะภายในได้
วิธีลดพุง ลดเอว ที่ทำได้ด้วยตัวเอง มีวิธีอะไรบ้าง?
- รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เน้นอาหารที่มีความหลากหลายครบ 5 หมู่
- แนะนำให้รับประทานอาหารในสัดส่วน 2:1:1 คือ ผักหลากสี 2 ส่วน, เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ 1 ส่วน, ข้าวหรือแป้ง 1 ส่วน
- ลดการบริโภคอาหารประเภทมันหรือทอด น้ำตาล และแป้ง เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด เบเกอรี่ โดนัท เนยขาว หรือครีมเทียม มันฝรั่งทอดกรอบ เป็นต้น
- แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อย 8 แก้ว หรือประมาณ 1.5-2 ลิตรต่อวัน
- ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ทำจิตใจให้แจ่มใส พยายามลดความเครียด
ลดพุง ลดหน้าท้อง ด้วยโปรแกรม S Curve 1 Week 1 Kilo คืออะไร
โปรแกรม Scurve 1 Week / 1 Kilo จาก Doctorlife Clinic เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อดูแลน้ำหนัก พร้อมกับการมีสุขภาพดีไม่กลับมาอ้วนซ้ำ การรักษาดูแลโดยแพทย์ทุกเคส โดยการประเมินและวางแผนการรักษาให้เหมาะกับปัญหาเฉพาะบุคคล และมีทีมที่ปรึกษามืออาชีพโปรแกรม Optimized ที่จะช่วยแนะนำเรื่องโภชนาการที่ทำได้จริงให้กับทุกท่าน พร้อมด้วยการผสานการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยหลายอย่างในการรักษา ที่จะช่วยลดไขมันส่วนเกิน เพิ่มการเผาผลาญ ยกกระชับผิวหย่อยคล้อย ผิวเปลือกส้ม ลดเซลลูไลท์ ทำให้หุ่นดูเฟิร์มกระชับขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด
โปรแกรม Freeze Shaping ช่วยลดพุงได้อย่างไร?
Freeze Shaping เป็นนวัตกรรม Cryolipolysis การสลายไขมันด้วยความเย็น โดยการทำงานจะส่งผ่านความเย็นในอุณหภูมิติดลบ (-5 ถึง -9 องศาเซลเซียส) ไปที่ชั้นไขมัน ทำให้เซลล์ไขมันถูกแช่แข็งหรือหยุดการทำงาน จากนั้นเซลล์ไขมันจะตาย แล้วถูกร่างกายกำจัดออกไปตามธรรมชาติ ทางระบบไหลเวียนน้ำเหลือง ทางปัสสาวะ และเหงื่อ เป็นต้น
โปรแกรมสลายไขมันด้วยความเย็น Freeze Shaping เหมาะกับใครบ้าง?
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสลายเซลล์ไขมันสะสมเฉพาะส่วน เช่น เอว หน้าท้อง สะโพก ต้นขา เป็นต้น
- เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ยังมีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดอยู่
- ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
หลังทำโปรแกรมสลายไขมันด้วยความเย็น Freeze Shaping ดูแลตัวเองอย่างไร?
- หลังการรักษาควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อร่างกาย วันละ 1.5-2 ลิตรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้การขับของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
- ควรออกกำลังกายและควบคุมอาหารควบคู่ไปด้วย เพื่อที่เซลล์ไขมันที่ถูกขจัดไปแล้วจะไม่กลับมาสะสมอีก หรือกลับมาช้าลง
- หลังการรักษาอาจจะมีรอยแดงจากความเย็น แต่จะหายไปเองภายใน 2-3 ชั่วโมง
การรับประทานอาหารช้าๆ หรือเคี้ยวช้าช่วยลดพุงได้จริงไหม?
การรับประทานอาหารช้าๆ จะช่วยให้ลดหรือควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น เพราะการที่เราค่อยๆ เคี้ยวจะช่วยกระตุ้นและส่งสัญญาณไปยังสมองส่วนกลางที่ทำหน้าที่ควบคุมความหิวและความอิ่ม ทำให้อิ่มเร็วขึ้น และได้รับปริมาณอาหารที่พอดี แต่การรับประทานอาหารแบบเร็ว เคี้ยวเร็ว หรือกลืนเร็ว จะทำให้เรากินอาหารในปริมาณที่มากกว่าปกติ
อีกทั้ง การทานเร็วยังทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานหนักและการเผาผลาญทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ในขณะเดียวกัน หากรับประทานอาหารช้าลงจะทำให้เราเคี้ยวอาหารได้ละเอียดขึ้น และช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นด้วย จึงช่วยลดพุง หรือลดการเกิดไขมันสะสมลงได้
ผู้ชายและผู้หญิง ใครอ้วนง่ายกว่ากัน?
ปัจจัยที่ส่งผลทำให้มีไขมันสะสมในร่างกาย หรือเกิดความอ้วนในผู้ชายและผู้หญิง ได้แก่
- บริเวณที่ไขมันสะสม ผู้ชายมักจะมีไขมันสะสมบริเวณท้อง ส่วนผู้หญิงมักจะสะสมบริเวณสะโพก ต้นขา หรือบั้นท้าย
- ฮอร์โมน ผู้ชายมีฮอร์โมนเพศชาย หรือเทสโทสเทอโรน(Testosterone) มากกว่าผู้หญิง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ดี ส่วนผู้หญิงจะมีฮอร์โมนเพศหญิง หรือเอสโตรเจน(Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการกระตุ้นเซลล์ไขมัน ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล และเปลี่ยนสารอาหารเป็นไขมันสะสมในร่างกาย และหากผู้หญิงรับประทายาคุมกำเนิดก็ส่งผลให้เอสโตรเจนมีปริมาณมากขึ้น แล้วยิ่งทำให้มีปริมาณเอสโตรเจนมาก ส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันในร่างกายมากขึ้นด้วย
- มวลกล้ามเนื้อ ผู้ชายจะมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิงเกือบ 2 เท่า จึงทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานมากกว่า และมีความแข็งแรงมากกว่าผู้หญิง
- มวลไขมัน ผู้ชายจะมีมวลไขมันน้อยกว่าผู้หญิง ประมาณ 15% ของร่างกาย ขณะที่ผู้หญิงมีมวลไขมันถึง 25%
- พลังงานที่ร่างกายต้องการ พลังงานที่ผู้ชายต้องการใช้ต่อวัน คือ 1,800-2,000 kcal ส่วนผู้หญิงต้องการพลังงานเฉลี่ยอยู่ที่ 1,500-1,800 kcal (โดยจะแปรผันตามสัดส่วนไขมันส่วนเกินในร่างกายและกิจกรรมในแต่ละวัน) เนื่องจากผู้หญิงจะมีร่างกายที่เล็กกว่าจึงต้องการพลังงานที่น้อยกว่า
ดังนั้น ผู้หญิงจะอ้วนง่ายและลดไขมันได้ยากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีกล้ามน้อยกว่า จึงเผาผลาญได้น้อยกว่า และฮอร์โมนเพศหญิงจะเร่งการเปลี่ยนอาหารเป็นไขมันได้ง่ายกว่าผู้ชาย รวมทั้งผู้หญิงเป็นเพศที่ใช้ยาคุมกำเนิด และฮอร์โมนเอสโตรเจนในยาคุมกำเนิดจะไปเร่งให้ร่างกายสะสมไขมันและน้ำในปริมาณที่มากด้วย
การออกกำลังกายลดพุง ลดหน้าท้อง ควรออกเวลาไหน?
- การออกกำลังกายในตอนเช้า ประมาณ 07.00 – 08.30 น. มีข้อดีคือ ช่วยให้ร่างกายดึงเอาไขมันสะสมมาใช้ได้ดีกว่าการออกกำลังในตอนเย็น และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับคนที่กำลังคุมน้ำหนักและลดไขมันในร่างกาย
- การออกกำลังกายในตอนเย็น ตั้งแต่ 15.00 – 21.00 น. เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เนื่องจากร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าตอนเช้า และจะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งการออกกำลังกายตอนเย็นจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (สารแห่งความสุข) ช่วยให้หลับสบายด้วย
- ทั้งนี้ การออกกำลังกายทั้งสองช่วงเวลามีข้อดีที่แตกต่างกัน โดยแนะนำให้เลือกช่วงเวลาที่คุณรู้สึกพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ต้องเร่งรีบ ก็จะทำให้สามารถออกกำลังกายได้เต็มที่มากขึ้น
ควรเลือกกินอะไรให้หน้าท้องยุบ?
- เน้นรับประทานโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น อกไก่ ไข่ขาว ปลา เนื้อหมูสันใน เป็นต้น
- รับประทานผัก ธัญพืช ข้าวและแป้งไม่ขัดสี ที่มีใยอาหารสูงจะทำให้อิ่มนานขึ้น
- รับประทานผลไม้สดชนิดหวานน้อย เช่น ฝรั่ง ชมพู่ แอปเปิล แคนตาลูป แก้วมังกร สาลี่ เป็นต้น
- แนะนำให้ทานอาหารประเภทต้ม นึ่ง ตุ๋น ลวก แทนการทอด เนื่องจากของทอดจะใช้น้ำมันมาก แล้วทำให้ร่างกายได้รับไขมันเพิ่มโดยไม่จำเป็น
- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง น้ำตาล และแป้ง
กินอาหารเสริมลดน้ำหนัก แต่ไม่ออกกำลังกาย ช่วยลดพุงได้ไหม เป็นอันตรายหรือไม่?
- การลดพุงและลดน้ำหนักด้วยการทานอาหารเสริมลดน้ำหนัก อาจทำให้น้ำหนักลดได้จริงในช่วงแรก แต่บางรายอาจเกิดอาการแพ้ หรือเกิดอาการข้างเคียงบางอย่างที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย หรืออาจเกิด “โยโย่เอฟเฟกต์ (Yoyo Effect)” ได้
- การเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ (Yoyo Effect) หลังหยุดกินอาหารเสริมลดน้ำหนัก เนื่องจากอาหารเสริมบางชนิดอาจออกฤทธิ์กดประสาท ทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มตลอดเวลา และระบบเผาผลาญชินกับปริมาณหรือแคลอรีที่ได้รับ จึงทำให้อัตราการเบิร์นลดลง เมื่อหยุดกินอาหารเสริมลดน้ำหนัก น้ำหนักก็จะดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะร่างกายเผาผลาญได้น้อยกว่าเดิม
- วิธีที่จะช่วยลดพุง ลดน้ำหนักได้ดี คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมอาหารในแต่ละวัน และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยในรักษารูปร่างและส่งผลดีต่อสุขภาพระยะยาวได้
ดื่มน้ำเปล่า ช่วยลดพุงและลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่ ควรดื่มปริมาณเท่าไหร่?
การดื่มน้ำเปล่า เพื่อช่วยลดพุงหรือลดน้ำหนักจะต้องกินในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย โดยสามารถคำนวณปริมาณน้ำที่เราควรกินวันละกี่ลิตร ได้ดังนี้
“น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) x 2.2 x 30 แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้มาหารด้วย 2 จะได้เป็นปริมาณน้ำที่เราควรดื่มใน 1 วัน (หน่วยมิลลิลิตร)”
โดยแนะนำการดื่มน้ำเปล่า ได้แก่
- เป็นน้ำอุณหภูมิห้อง ไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป
- สามารถปรับเปลี่ยนปริมาณน้ำให้เหมาะสมกับจำนวนที่ต้องดื่มต่อวันของแต่ละคน
- ไม่ควรดื่มน้ำแบบรวดเดียวหมดแก้ว แต่ควรจิบเรื่อยๆ ตลอดวัน
นอกจากนี้ เราขอแนะนำช่วงเวลาในการแบ่งดื่มน้ำเพื่อลดพุง ดังนี้
- หลังตื่นนอน ให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อกระตุ้นการขับถ่าย
- ก่อนกินมื้อเช้า 15-20 นาที ให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อลดความอยากอาหาร
- ระหว่างวัน ช่วง 09.00-13.00 น. ให้ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว เพื่อลดการสูญเสียน้ำ
- ช่วงบ่ายและเย็น ให้ดื่มน้ำ 2 แก้ว เพื่อกระตุ้นระบบลำไส้
- ช่วงเย็นและก่อนนอน ให้ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว เพื่อล้างของเสียที่อยู่ในลำไส้
ผลกระทบจากภาวะน้ำหนักเกิน หรืออ้วนลงพุง เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง?
- โรคอ้วน
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคไขมันพอกตับ
- โรคหัวใจ
- โรคเบาหวาน
- โรคข้อเข่าเสื่อม
- ความดันโลหิตสูง
- โรคกรดไหลย้อน
- โรคนิ่วในถุงน้ำดี
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือมีปัญหาทางเดินหายใจ
- โรคมะเร็งบางชนิด
รีจูรัน (REJURAN) คืออะไร?
รีจูรัน (REJURAN) ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
รีจูรัน (REJURAN) ช่วยเรื่องสุขภาพผิวได้หลายอย่าง ดังนี้
- ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
- เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวดูอิ่มน้ำ
- ลดความมันของผิวให้สมดุล
- เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว รูขุมขุนกระชับขึ้น และลดเลือนริ้วรอย
- เสริมเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและหนาแน่นขึ้น
รีจูรัน (REJURAN) เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวขาดน้ำ ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
- ผู้ที่ต้องการมีผิวสุขภาพดี ฉ่ำวาวแบบผิวกระจก
- ผู้ที่ต้องการผิวหน้าเต่งตึงและดูสดชื่น
- ผู้ที่ต้องการซ่อมแซมผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
- ผู้ที่ต้องการกระชับริ้วรอยและรูขมขน
- ผู้ที่มีผิวบอบบางและแพ้ง่าย
- ผู้ที่มีผิวมันและต้องการปรับสมดุลความมันบนใบหน้า
รีจูรัน (REJURAN) ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง?
โปรแกรมฉีดรีจูรัน (REJURAN) สามารถฉีดได้หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นฉีดได้ทั่วใบหน้าและลำคอ หรือเน้นฉีดในจุดที่มีปัญหา เช่น หน้าผาก ใต้ตา แก้ม เพื่อช่วยให้ใบหน้าดูชุ่มชื้น ดูสดใส และทำให้ผิวบริเวณลำคอดูอิ่มฟูขึ้น
ปัญหาผิวหน้าแบบไหนควรฉีดรีจูรัน (REJURAN) ?
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวที่เหมาะสำหรับการฉีดรีจูรัน (REJURAN) ได้แก่
- ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
- ผู้ที่มีปัญหาความเสื่อมสภาพของผิว (Skin Aging) หรือมีริ้วรอยยับบริเวณใบหน้า
- ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง
รีจูรัน (REJURAN) ควรฉีดบ่อยแค่ไหน?
หากต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นหลังฉีดรีจูรัน (REJURAN) ควรทำ 4 ครั้งขึ้นไป โดยแต่ละครั้งให้ฉีดห่างกันทุก 2-3 สัปดาห์ จำนวน 4 ครั้ง จากนั้นเมื่อทำครบ 4 ครั้งแล้ว สามารถทำซ้ำได้ทุก 3 เดือน เพื่อคงสภาพผิวที่ดูสุขภาพดีให้นานขึ้น
รีจูรัน (REJURAN) เห็นผลเมื่อไหร่?
โดยส่วนใหญ่ในการรักษาครั้งแรก จะเริ่มรู้สึกถึงผิวที่นุ่มชุ่มชื้นขึ้น และเมื่อรักษาอย่างต่อเนื่องผิวจะดีขึ้นเรื่อยๆ โดยการรักษาครั้งที่ 2 รูขุมขนกระชับขึ้น, การรักษาครั้งที่ 3 ผิวมีความแข็งแรง และการรักษาครั้งที่ 4 ผิวจะสุขภาพดีแข็งแรงขึ้นอย่างสมดุล ทั้งนี้ หลังฉีดรีจูรันมาแล้วจะเห็นผลไวหรือช้าจะขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังฉีดด้วยเช่นกัน
หลังฉีดรีจูรัน (REJURAN) อยู่ได้นานไหม?
เมื่อทำการรักษาอย่างต่อเนื่องฉีดครบ 4 ครั้ง จะอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ซึ่งผลลัพธ์การรักษาก็จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเอง รวมทั้งการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลด้วย ดังนั้น ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
จุดเด่นของการฉีดรีจูรัน (REJURAN) มีอะไรบ้าง ทำไมคนถึงชอบ?
คุณสมบัติโดดเด่นของรีจูรัน (REJURAN) ได้แก่
- ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูในระดับชั้นผิวหนังแท้อย่างอ่อนโยนและปลอดภัย
- ช่วยคงความชุ่มชื้น และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวอิ่มฟู
- ช่วยกระตุ้นผิวใส และดูเรียบเนียนมากขึ้น
- ลดความมันบนใบหน้า ปรับสมดุลผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- รูขุมขนกระชับ ริ้วรอยจางลง พร้อมผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
- เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
หลังฉีดรีจูรัน (REJURAN) แต่งหน้าได้ไหม?
ให้งดการแต่งหน้าหลังฉีดรีจูรัน (REJURAN) มาแล้วประมาณ 24 ชั่วโมง เนื่องจากยังมีรูเข็มเล็กๆ ที่ยังปิดไม่สนิท ดังนั้น เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคเข้าสู่ผิวบริเวณที่มีรอยเข็ม จึงแนะนำให้งดการแต่งหน้าไปก่อน
เป็นสิวอยู่ฉีดรีจูรัน (REJURAN) ได้ไหม?
ไม่แนะนำให้ฉีดในผู้ที่เป็นสิวอักเสบอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบรุนแรงมากขึ้น โดยควรทำการรักษาสิวอักเสบให้หายก่อน ทั้งนี้ ก่อนการฉีดรีจูรัน (REJURAN) ต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนทำการรักษาทุกครั้ง
หลังฉีดรีจูรัน (REJURAN) โดนแดดได้ไหม?
หลังฉีดรีจูรัน (REJURAN) ไม่ควรให้ผิวโดนแสงแดดมากเกินไป เนื่องจากรีจูรันจะเข้าไปช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น แต่หากปล่อยให้ผิวโดนแดดเป็นเวลานาน UV ในแสงแดดจะไปทำลายเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูแห้งและหมองคล้ำลงได้ ดังนั้น แนะนำให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งและควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน
สามารถทำรีจูรัน (REJURAN) คู่กับหัตถการอื่นได้ไหม?
ห้ามฉีดผสมกับยาตัวอื่น กรณีฉีดหลังทำเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และกรณีฉีดยากลุ่ม PDRN, Hyaluronic Acid (HA), PN ให้เว้นระยะห่าง 1 เดือน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะทำหัตถการอะไรก็ตามต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนทำการรักษาทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ใครที่ไม่เหมาะจะฉีดรีจูรัน (REJURAN) บ้าง?
- งดทำในหญิงตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติการแพ้ปลาแซลมอนหรืออาหารทะเล
- ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่ม NSAIDs ยายับยั้งการรวมตัวของเกร็ดเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และยากดภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้, โรคแพ้ภูมิตัวเอง
- ผู้ป่วยโรคเยื่อบุโพรงหัวใจอักเสบ, โรคมะเร็ง, โรคผิวหนัง
- กรณีที่มีโรคประจำตัวให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาทุกครั้ง
หลังฉีดรีจูรัน (REJURAN) ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
- หลังทำ 6-8 ชั่วโมง ให้งดล้างหน้า
- หลังทำ 24 ชั่วโมง ให้งดการแต่งหน้า
- หลังทำ 48 ชั่วโมง ให้หลีกเลี่ยงการจับ นวด กด หรือสัมผัสผิวในบริเวณที่ฉีด
- หลังทำ 3-7 วัน หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก และงดการเข้าซาวน่า
- หลังทำ 2 สัปดาห์ งดการทำหัตถการอื่น ๆ เช่น โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์, เลเซอร์
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อไม่ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น
- ควรบำรุงผิวหน้าทามอยเจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ
- ควรดื่มน้ำเปล่ามากๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทำให้ผิวชุ่มชื้นแลดูสุขภาพดี
- รอยแดงจากเข็มจะค่อยๆ จางลงใน 5-7 วัน (แล้วแต่บุคคล)