คำถามที่พบบ่อย

FAQs

หมวดหมู่

  • ช่วยลดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • ช่วยรักษารอยดำและรอยแดงจากสิว
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอย
  • ช่วยรักษารูขุมขนกว้าง ผิวหน้าไม่เรียบเนียน
  • ช่วยรักษาหลุมสิว และแผลเป็นต่างๆ
  • ฟื้นฟูสภาพผิว ปรับสีผิวให้กระจ่างใส และสีผิวสม่ำเสมอ
  • ช่วยลบรอยสัก

จำนวนครั้งในการรักษาด้วย Pico Laser จะขึ้นอยู่กับสภาพของปัญหาผิวในแต่ละบุคคล แต่โดยปกติ แล้วจำนวนครั้งในแต่ละจุดที่สามารถเห็นผลได้ มีดังนี้

  • หน้ากระจ่างใส ควรทำประมาณ 1-2 ครั้ง จะสามารถเห็นผลการเปลี่ยนผิวดูกระจ่างใสขึ้น
  • รอยสิว จุดด่างดำ กระตื้น ควรทำประมาณ 1-2 ครั้ง หรือขึ้นอยู่กับสภาพผิว และการประเมินจากแพทย์ผู้ทำการรักษา
  • หลุมสิว ควรทำประมาณ 4-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผลเป็นหลุมสิว
  • ฝ้า กระลึก รอยแผลเป็น ควรทำ Pico Laser ประมาณ 5-6 ครั้ง หรือจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
  • ลบรอยสัก จำนวนครั้งในการรักษาจะขึ้นอยู่กับขนาด ความเข้ม และความลึกของรอยสัก

การทำ Pico Laser ควรทำห่างกันประมาณ 1 เดือน/ครั้ง เพื่อรอให้ผิวได้รับการฟื้นฟูก่อน เนื่องจากหัตถการนี้จะเร่งการผลัดเซลล์ จึงอาจทำให้ผิวระคายเคืองง่าย ทั้งนี้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรเข้ารับการรักษาตามนัด หรือตามคำแนะนำของแพทย์ทุกครั้ง

  • ผู้ที่มีปัญหารอยดำรอยแดงจากสิว
  • ผู้ที่มีปัญหาความผิดปกติของเม็ดสี เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
  • ผู้ที่มีหลุมสิว รอยแผลเป็น
  • ผู้ที่ต้องการลบรอยสักสีดำ หรือรอยสักสีเข้ม

หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรง และการอาบแดด เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากผิวหลังทำพิโค่เลเซอร์จะบอบบางและมีความไวต่อแสงมากกว่าปกติ และควรทาครีมกันแดดทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปกป้องผิวและให้ผลลัพธ์การรักษามีประสิทธิภาพ

หลังทำ Pico Laser ควรงดโดนน้ำอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เนื่องจากจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

สำหรับคนไข้ที่เป็นสิวแล้วต้องการทำ Picos Laser จะแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

  • กรณีที่มีสิวเล็กน้อยบนใบหน้าสามารถทำ Pico Laser ได้ และสามารถทำควบคู่กับการรักษาสิวร่วมด้วยได้
  • กรณีที่มีสิวอักเสบมาก หรือสิวเม็ดใหญ่ ควรรักษาสิวให้หายก่อน แล้วค่อยมาทำ Pico Laser

ระหว่างที่รักษาด้วย Pico Laser ผู้รับบริการจะรู้สึกอุ่นๆ บริเวณผิวหนัง และจะรู้สึกดีดๆ บริเวณที่มีเม็ดสี ซึ่งระดับความเจ็บจะอยู่ในระดับที่สามารถทนได้ ทั้งนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับการรับความรู้สึกทนเจ็บของคนไข้แต่ละบุคคลด้วย

การทำ Pico Laser ไม่ส่งผลให้ผิวบาง เนื่องจากเทคโนโลยีการทำ Pico Laser จะเป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่แสงเลเซอร์จะไปทำลายแค่เม็ดสีในชั้นผิวอย่างเฉพาะเจาะจง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินเท่านั้น โดยจะไม่มีการไปรบกวนหรือทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียงอื่นๆ จึงไม่มีผลทำให้ผิวบางลงหรือเกิดบาดแผลภายนอก

  • ผู้ที่มีปัญหารอยดำจากสิว ผิวหมองคล้ำ รูขุขมขนกว้าง หลุมสิว กระตื้น กลุ่มนี้หากได้รับการรักษาที่หายแล้วจะหายเลย ยกเว้นว่าจะเกิดปัญหาผิวนี้ขึ้นมาใหม่ตามธรรมชาติ
  • ผู้ที่มีปัญหาฝ้า ก็สามารถใช้ Pico Laser ในการรักษาได้ และควรมีการใช้ยาทา ยารับประทาน และการควบคุมปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าร่วมด้วยตามคำแนะนำและการวางแผนการรักษาของแพทย์ เนื่องจาก Pico Laser จะช่วยให้ฝ้าจางลง หรือบางลง แต่จะไม่หายสนิท

ระยะเวลาฉีดโบท็อกกี่วันเห็นผล จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด ดังนี้

  • ฉีดลดริ้วรอย ตำแหน่งหน้าผาก ตีนกา ใต้ตา เห็นผลประมาณ 3-7 วัน และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์
  • ฉีดลดกราม ปรับรูปหน้า จะเริ่มเห็นผลประมาณ 14 วัน และเห็นผลชัดเจนขึ้นประมาณ 4-6 สัปดาห์
  • ลิฟกรอบหน้า เหนียง ลำคอ เห็นผลประมาณ 3-7 วัน และเห็นผลชัดเจนขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์
  • โปรแกรมฉีดโบท็อกรักแร้ ลดเหงื่อ จะเห็นผลประมาณ 3-7 วัน และเห็นผลชัดเจนขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์
  • โปรแกรมฉีดโบท็อกออฟฟิศซินโดรม หลังฉีดจะรู้สึกสบายตัวขึ้น ปวดน้อยลง และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นในช่วง 7-14 วัน

โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์จะไม่ได้อยู่ถาวร ซึ่งระยะเวลาการเห็นผลจะขึ้นอยู่กับจุดที่ฉีด ดังนี้

  • ฉีดลดริ้วรอย จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน
  • ฉีดลดกราม จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 5-6 เดือน
  • ลิฟกรอบหน้าด้วยเทคนิค Dermolift จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1-2 เดือน ส่วนการฉีดลิฟกรอบหน้าด้วยเทคนิค Nefertiti lift จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน
  • โปรแกรมฉีดโบท็อกรักแร้ ลดเหงื่อ จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3-5 เดือน
  • โปรแกรมฉีดโบท็อกออฟฟิศซินโดรม จะเห็นผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน

*ทั้งนี้ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองหลังฉีดของคนไข้แต่ละบุคคล

หากคนไข้ต้องการผลลัพธ์หลังฉีดอย่างต่อเนื่องสามารถกลับมาฉีดซ้ำได้ โดยเว้นระยะห่าง ดังนี้

  • ฉีดลดริ้วรอย ควรฉีดห่างกันแต่ละครั้งประมาณ 3-4 เดือน
  • ลดกราม ควรฉีดห่างกันแต่ละครั้งประมาณ 4-5 เดือน
  • ลิฟกรอบหน้า ควรฉีดห่างกันแต่ละครั้งประมาณ 3-4 เดือน
  • ลดกลิ่นตัว หรือลดเหงื่อ ควรฉีดห่างกันแต่ละครั้งประมาณ 4–6 เดือน
  • โปรแกรมฉีดโบท็อกออฟฟิศซินโดรม ควรฉีดห่างกันแต่ละครั้งประมาณ 3-4 เดือน
  • ผู้ที่ต้องการลดเลือนรอยย่นบนใบหน้า
  • ผู้ที่ต้องการลดเลือนรอยตีนกา
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าแนวโหนกแก้มให้กระชับขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการลดภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ และลดกลิ่นตัว
  • ผู้ที่ต้องการบรรเทาอาการปวดออฟฟิศซินโดรม
  • ยกกระชับใบหน้าให้ตึงกระชับ
  • ลดริ้วรอยหน้าผาก หางตา ยกหางคิ้ว และรอยย่นใต้ตา
  • ลดความหย่อนคล้อย รูขุมขนดูเล็กลง
  • ลดร่องแก้มลึก
  • ลดริ้วรอยรอบริมฝีปาก
  • ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก
  • ลดความมันบริเวณใบหน้า ทำให้ผิวหน้าละเอียดขึ้น

หลังเข้ารับบริการโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการออกกำลังกายหนักๆ อย่างน้อย 3 วัน รวมทั้งควรงดกิจกรรมที่ทำให้ได้รับความร้อนเยอะๆ เช่น การซาวน่า อบไอน้ำ

คำแนะนำหลังเข้ารับบริการโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ ควรงดนอนราบ 4 ชั่วโมง และงดการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจ เนื่องจากจะทำให้เลือดไหลเวียนมาที่หน้าเยอะขึ้น และอาจจะทำให้ตัวยาที่ฉีดเข้าไปกระจายตัวมากจนเกินไป

ห้ามนวด กด หรือคลึงใบหน้าในบริเวณที่ทำการฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน โดยเฉพาะในช่วง 4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด เนื่องจากตัวยากำลังทำการกระจายตัวแทรกซึมเข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อที่ฉีดนั่นเอง ถ้าหากมีการสัมผัสบริเวณที่ฉีดบ่อยๆ ก็อาจส่งผลให้ตัวยากระจายตัวไปกล้ามเนื้อบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการได้

ทั้งนี้ หลังจากผ่านไปอย่างน้อย 14 วันแล้ว ก็สามารถเข้ารับบริการทำทรีตเมนต์นวดบำรุงผิวหน้าอื่นๆ ได้ตามปกติ

การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือการทาสกินแคร์ต่างๆ เป็นเพียงหนึ่งในขั้นตอนการบำรุงผิวพรรณเท่านั้น ซึ่งจะไม่ได้ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของสารโบทูลินัม ท็อกซิน ที่ฉีดเข้าไปแต่อย่างใด แต่มีข้อควรระวังในช่วงแรกๆ หลังทำหัตถการมา แนะนำให้ทาสกินแคร์อย่างเบามือ โดยไม่นวดคลึงผิวแรงๆ

ในกรณีที่ทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ลดกรามมาแล้ว แนะนำให้ทำการขยับใบหน้า หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง อย่างน้อย 30 นาที เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามได้มีการเคลื่อนไหว และช่วยให้ตัวยากระจายหรือซึมซาบเข้าสู่กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดได้อย่างเต็มที่

ปริมาณยูนิตที่ใช้ในโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์จะขึ้นอยู่กับจุดที่ฉีด และปัญหาของแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์ผู้ทำหัตถการจะเป็นผู้ประเมินปริมาณยา เพื่อให้เหมาะสมกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขของคนไข้แต่ละบุคคล

ยาฆ่าเชื้อ ลดอักเสบ หรือยาแก้ปวด จะไม่มีผลต่อสารโบทูลินัม ท็อกซิน

ข้อแนะนำในช่วงหลังทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์มาประมาณ 14 วัน มีอาหารที่ควรงดทาน ดังนี้

  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดและควรงดการสูบบุหรี่
  • อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาหรือต้องโดนไอความร้อน เช่น ชาบู หมูกระทะ ปิ้งย่าง
  • อาหารหมักดอง เนื่องจากอาหารประเภทนี้จะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว เช่น ปลาร้า ผักดอง และผลไม้ดองต่างๆ
  • อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ และอาหารทะเล
  • อาหารที่มีรสเผ็ดจัด หรืออาหารที่ทำให้แสบร้อนจนหน้าแดง

ข้อควรระวังหรือบุคคลที่ไม่แนะนำให้ทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ ได้แก่

  • ผู้ที่มีอาการแพ้สาร Botulinum Toxin
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่
  • ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงรุนแรง
  • ผู้ที่เป็นโรคเลือดออกแล้วหยุดยาก

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ใช้ในประเทศไทยปัจจุบัน เป็นสารเติมเต็มกลุ่มไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “HA” ซึ่งสารตัวนี้เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้น สามารถเติมเต็มชั้นผิว หรือเสริมชั้นในผิวหนังและใต้ผิวหนังให้สมบูรณ์ พร้อมช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว โดยจะใช้ทดแทนคอลลาเจนและไฮยาลูรอนที่ร่างกายสูญเสียและมีการยุบตัวลงไปเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อมีการฉีดสารเติมเต็มนี้เข้าไป จะช่วยเติมเต็มชั้นผิวบริเวณต่างๆ ของใบหน้าให้มีความยืดหยุ่น เต่งตึง อิ่มฟู และช่วยแก้ปัญหาผิวบริเวณที่มีริ้วรอยลึกของใบหน้าให้กลับมาเรียบเนียนกระชับ ดูอ่อนเยาว์ และเปล่งปลั่งขึ้น

  • เติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า เช่น ใต้ตา ขมับ หน้าแก้ม
  • ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้น และเพิ่มความเป็นมิติขึ้น เช่น คาง ขมับ หน้าผาก
  • เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิว
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ ทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์
  • ช่วยเติมเต็มใบหน้ามี volume ดูมีน้ำมีนวลขึ้น เช่น ริมฝีปาก คาง ขมับ หน้าผาก
  • ช่วยบำรุงผิวหน้าให้เปล่งปลั่ง ดูสดชื่นมากขึ้น
  • สามารถฉีดหลังมือ เพื่อแก้ปัญหามือแห้ง หรือมือเหี่ยวย่นได้อีก

หลังเข้ารับบริการโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มาแล้วอาจมีอาการบวมประมาณ 7-14 วัน โดยในช่วง 2-3 วันแรกหลังฉีดจะบวมมากที่สุด และจะค่อยๆ บวมน้อยลงและจะหายบวมได้เอง

เมื่ออาการบวมลดลงและหายไปแล้ว จะเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่ชัดเจนขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์

โดยปกติแล้วเมื่อฉีดสารเติมเต็มเข้าไปจะสามารถอยู่ได้นาน 8-18 เดือน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของสารเติมเต็มที่ใช้ฉีด รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ด้วยเช่นกัน

จุดฉีดโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่นิยมทำ ได้แก่

  • หน้าผาก แก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากบุบ เป็นคลื่น มีริ้วรอยร่องลึก ช่วยเสริมหน้าผากให้โหนกนูน เพิ่มมิติให้ใบหน้าให้ได้สัดส่วน
  • ขมับ แก้ปัญหาขมับตอบ ลดความเด่นของโหนกแก้มสูง ทำให้หน้าดูดุ ช่วยเติมโครงหน้าให้ดูเต็มขึ้น
  • ใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ ซึ่งจะทำให้ใบหน้าดูโทรม ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
  • แก้มส้ม เป็นการฉีดสารเติมเต็มบริเวณกลางหน้าหรือพวงแก้ม ช่วยในการแก้ปัญหาหน้าแก้มแบน ผิวหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและสดใสมากขึ้น
  • ร่องแก้ม แก้ปัญหาร่องแก้มลึก ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ ช่วยเติมเต็มร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
  • ปาก ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มและชุ่มชื้นมากขึ้น
  • คาง ปรับให้องค์ประกอบใบหน้าดูสมมาตร แก้ปัญหาคางสั้น หรือคางตัด

โดยส่วนมากใช้ฉีดประมาณ 1-4 CC ซึ่งปริมาณการฉีดสารเติมเต็มจะขึ้นกับตำแหน่งที่ฉีด สภาพปัญหาใบหน้าของแต่ละบุคคล และความต้องการของคนไข้แต่ละบุคคล โดยแพทย์ผู้ทำการรักษาจะเป็นผู้ประเมิน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด ทั้งนี้ ในการฉีดสารเติมเต็มแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องเติมทีเดียวในปริมาณมาก แต่สามารถมาเติมได้เรื่อยๆ ตามความต้องการของผลลัพธ์ที่สวยงาม

หากฉีดสารเติมต็มประเภท Hyaluronic Acid จะสามารถสลายหมดได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ตกค้างภายในร่างกาย และสามารถฉีดเพิ่มเติมได้ตามคำแนะนำของแพทย์

หลังจากทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์มาแล้ว ให้งดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณรอยเข็ม หรือจนกว่ารอยรูเข็มจะปิดสนิท

  • บางรายอาจมีผลข้างเคียงจากการฉีดได้ เช่น ผื่นหรือจุดแดงบริเวณรอยเข็ม ซึ่งสามารถหายไปได้เองประมาณ 1 สัปดาห์ โดยให้หลีกเลี่ยงการแกะ เกา กดนวดในจุดที่ฉีด
  • อาจมีอาการปวด ระบมบริเวณที่ฉีด ซึ่งหากมีอาการปวดคนไข้สามารถทานยาแก้ปวดได้ตามอาการ และจะหายไปได้เองประมาณ 3-7 วัน

แนะนำให้งดการนวดหน้าและการทำเลเซอร์ อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เนื่องจากพลังงานเลเซอร์อาจทำให้เกิดความร้อนใต้ชั้นผิว แล้วส่งผลต่อการเซตตัวของสารเติมเต็มและอาจทำให้สารเติมเต็มสลายเร็วขึ้นด้วย รวมทั้งการกด ถู นวดใบหน้าอาจทำให้สารเติมเต็มผิดรูปได้

ควรงดอาหารเสริมจำพวกวิตามินอี, ยาแอสไพริน, Fish Oil, แปะก๊วย ก่อนฉีดอย่างน้อย 3-5 วัน เนื่องจากอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดแข็งตัวช้าในระหว่างการฉีด และทำให้รอยเข็มบริเวณที่ฉีดหายช้า หรือเกิดรอยช้ำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

หลังรับการรักษาสามารถกลับไปทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ แต่อาจมีอาการบวมหรือช้ำได้เล็กน้อย ซึ่งจะดีขึ้นภายใน 3-5 วัน และเข้าที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปริมาณที่เติมเข้าไปในแต่ละบุคคล

อาหารที่ควรงดในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีดสารเติมเต็ม มีดังนี้

  • งดอาหารหมักดอง เช่น ส้มตำปลาร้า หน่อไม้ดอง เป็นต้น เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรค แล้วกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของรอยเข็มบริเวณที่ฉีดได้
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เนื่องจากทำให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดสูบฉีดมากขึ้น ทำให้อาการบวมจากเข็มจะหายช้าลง และบริเวณที่ฉีดจนเกิดอาการอักเสบได้ง่าย
  • อาหารที่มีรสเผ็ดจัด เค็มจัด อาจจะทำให้ร่ายกายมีการดูดน้ำค่อนข้างมาก ส่งผลให้ใบหน้าบวมได้ รวมทั้งอาหารที่เผ็ดจัดอาจทำให้มีน้ำมูกไหล ส่งผลต่อการติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ
  • อาหารดิบ หรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่ได้ผ่านการปรุงสุก จึงอาจมีพยาธิปนเปื้อน และส่งผลต่อการเกิดการอักเสบมากขึ้นได้
  • ชาบู หมูกระทะ ปิ้งย่าง ที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ อาจทำให้ผิวหน้าอยู่ใกล้ความร้อนมากกว่าปกติ ซึ่งจะส่งผลข้างเคียงต่อการเซตตัวของสารเติมเต็มได้

ข้อห้ามและข้อปฏิบัติในการดูแลตัวเองหลังฉีดมีดังนี้

  • งดแต่งหน้าและทาครีมบำรุงบริเวณที่ฉีด ประมาณ 24 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดที่ร้อนจัด น้ำอุ่น และอบซาวน่า
    งดการออกกำลังกายอย่างหนักในช่วง 2 วันแรกหลังฉีด
  • งดการกด นวด สัมผัสบริเวณที่ฉีด ประมาณ 2 สัปดาห์
  • ควรดื่มน้ำปริมาณมาก เพื่อช่วยให้สารเติมเต็มฟูสวยได้รูปมากขึ้น เนื่องจากสารเติมเต็มไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) เป็นสารที่อุ้มน้ำ
  • งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 วันแรกหลังฉีด

โปรแกรมฉีด Radiesse หรือ เรเดียส จะช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าดังนี้

  • ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี ผิวเฟิร์ม และอิ่มฟูขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 และ Type 3
  • ช่วยเติมเต็มร่องลึก
    แก้ปัญหาหน้าโทรม ขาดวอลลุ่ม
  • ช่วยยกกระชับผิวทั่วใบหน้า

โปรแกรมฉีด Radiesse เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาต่อไปนี้

  • ผู้ที่มีริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ร่องมุมปาก
  • ผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
  • ผู้ที่ต้องการให้ใบหน้ากระชับขึ้น ผิวแน่นเฟิร์มขึ้น
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าขาดคอลลาเจน ไม่มีวอลลุ่ม
  • ผู้ที่ต้องการให้ผิวหน้ากลับมาสดใส เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนเยาว์

ข้อควรระวังหรือผู้ที่ไม่เหมาะสำหรับการรักษาด้วยโปรแกรมฉีด Radiesse ได้แก่

  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ทั้งนี้ สำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ต้องการฉีดควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ก่อนทำการตัดสินใจฉีดทุกครั้ง
  • ผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวกับอาการเลือดออกง่าย เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการเลือดออกแล้วหยุดไหลยาก
  • ผู้ที่มีการอักเสบบริเวณผิวหนัง เนื่องจากจะกระตุ้นที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองมากขึ้น จึงควรรักษาผิวที่มีการอักเสบให้หายก่อนค่อยกลับมาฉีด Radiesse
  • ผู้ที่มีผิวหนังเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์สูง เนื่องจากอาจทำให้เซลล์คอลลาเจนที่เข้าไปสมานแผลมีปริมาณมากเกินจำเป็น จนมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดคีลอยด์ขนาดใหญ่ขึ้นได้
  • หลังฉีดมาแล้วจะเริ่มเห็นผลลัพธ์โดยที่ผิวจะค่อยๆ ดีขึ้น ประมาณ 1-4 สัปดาห์แรก ซึ่งผิวจะมีความกระชับ ผิวแน่นฟู และริ้วรอยจางลง
  • จากนั้น 3-6 เดือน หลังฉีด Radiesse จะเริ่มออกฤทธิ์กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น โดยที่ผิวจะมีความยืดหยุ่นและมีวอลลุ่มมากขึ้น
  • หากต้องการให้เห็นผลเต็มที่และอยู่ได้นาน แนะนำให้ทำการรักษาติดต่อกัน 1-3 ครั้งขึ้นไป โดยเว้นระยะห่างประมาณ 1 เดือน ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย

หลังทำการรักษาโปรแกรมฉีด Radiesse จะคงผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดและร่างกายของแต่ละบุคคล

จุดที่นิยมฉีดเพื่อเพิ่มวอลลุ่ม ยกกระชับ แก้ไขรอยพับหรือร่องลึกบริเวณใบหน้า รวมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทั่วใบหน้า ทำให้ผิวดีขึ้นและดูเด็กลง ได้แก่

  • ใบหน้า
  • หน้าแก้ม
  • กรอบหน้า
  • ลำคอ

ทั้งนี้ บริเวณที่ไม่แนะนาให้ฉีด คือ ผิวหนังบริเวณกล้ามเนื้อรอบดวงตา หรือบริเวณที่ใกล้ตา ร่องระหว่างคิ้ว และริมฝีปาก

หลังทำการรักษาโปรแกรมฉีด Radiesse อาจเกิดอาการเขียวช้ำ บวมแดง ปวด หรือมีอาการคันบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการปกติที่สามารถเกิดขึ้นชั่วคราว และอาการดังกล่าวสามารถหายได้เองประมาณ 1-3 วัน (บางรายอาจมากกว่านั้น)


แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาบริเวณที่ฉีด เนื่องจากรูเข็มยังปิดไม่สนิทอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ทั้งนี้ หากเกิดกรณีที่มีอาการผิวเปลี่ยนสีหรือผิวซีดลงในบริเวณที่ฉีด ควรกลับมาพบแพทย์ที่ทำการรักษาในทันที

  • Radiesse หรือ เรเดียส เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ชนิดพิเศษ ที่ประกอบด้วย CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นกระบวนการให้เซลล์เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิวด้วยตนเองตามธรรมชาติ โดยจะเด่นในเรื่องกระตุ้นโครงสร้างผิว 5 ประการ ได้แก่
    1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน TYPE 1 สูงถึง 150%
    2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน TYPE 3 ถึง 130%
    3. ช่วยเสริมกับคอลลาเจน TYPE 1 ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงมากขึ้น
      ช่วยเพิ่ม Elastin สูงถึง 250% ให้ผิวมีความยืดหยุ่นได้ดีขึ้น
    4. เพิ่มสารอาหารหล่อเลี้ยงเซลล์ผิว (Angiogenesis) ช่วยเสริมสร้างเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเซลล์ผิว เสริมฤทธิ์การกระตุ้นคอลลาเจน
    5. เพิ่มสารน้ำหล่อเลี้ยงผิว (Proteoglycan) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • Radiesse+ หรือ เรเดียสพลัส จะเด่นในเรื่องของการยกกระชับและสร้างกรอบหน้า โดยมีสารประกอบหลักคือ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) และยาชา Lidocaine รวมอยู่ในปริมาณ 0.3% ซึ่งตัวยาจะมีความหนืดสูง คงที่ และไม่เคลื่อนตัว ทำให้เรเดียสพลัสมีคุณสมบัติช่วยในเรื่องของการปรับโครงสร้างหน้าโดยเฉพาะ นิยมฉีดบริเวณ Cheek bone และ Jawline เพื่อช่วยสร้างกรอบหน้าให้คมชัดและมีมิติมากขึ้น
  • หากต้องการฉีด Radiesse และ Sculptra ในบริเวณที่ต่างกัน สามารถฉีดร่วมกันได้ แต่ต้องได้รับการปรึกษาจากแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข
  • แต่หากต้องการฉีด Radiesse และ Sculptra บริเวณเดียวก็สามารถทำได้ แต่ควรเว้นระยะ 3-6 เดือน เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ฉีด Radiesse ครั้งแรกออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ก่อน และควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาหรือเติมไปในจุดที่จำเป็นเพิ่มเติมอีกครั้งได้

สามารถฉีดร่วมกับโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์ได้ เนื่องจากการทำโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์จะเป็นการฉีดในชั้นกล้ามเนื้อ แต่สำหรับโปรแกรมฉีด Radiesse จะเป็นการฉีดที่ชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งเป็นการฉีดคนละชั้นผิวกัน จึงไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่อันตรายต่อกัน แต่ก็ต้องเข้ารับการปรึกษาและได้รับการประเมินปัญหาผิวจากแพทย์ก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลนั่นเอง

สำหรับโปรแกรมฉีด Radiesse ไม่จำเป็นต้องเลี่ยงความร้อนหลังฉีดเหมือนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากโปรแกรมฉีด Radiesse จะเป็นการทำงานโดยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ส่วนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์จะเป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด Hyaluronic Acid ที่จะช่วยเติมเต็มช่องว่างชั้นในผิวหนังและใต้ผิวหนัง และสามารถสลายไปเองได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการโดนความร้อนสูงก็จะยิ่งสลายเร็วขึ้น ดังนั้น Radiesse จึงไม่ต้องเลี่ยงความร้อนเพราะไม่มีความเสี่ยงที่จะละลายจนเสียรูป

วิธีการดูแลตัวเองพื้นฐานหลังทำการรักษาด้วยโปรแกรมฉีด Radiesse มีดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส ลูบ แตะ หรือเกาบริเวณที่ฉีด
  • งดการแต่งหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง หรือจนกว่ารอยเข็มจะหายดี
  • ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีด
  • งดการทําหัตถการที่มีความร้อนสูง และงดซาวน่า อย่างน้อย 7 วันหลังฉีด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 2 สัปดาห์
  • แนะนำดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • หลีกเลี่ยงยากลุ่มแอสไพริน หรือ NSAID อย่างน้อย 1 สัปดาห์ หากมีอาการปวดแนะนำทานพาราเซตามอลแทนได้
  • หากมีอาการบวมแดง สามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการช้ำได้ และเมื่อผ่าน 24 ชม.ไปแล้วแนะนําให้ประคบอุ่น (ตามคําแนะนําของแพทย์)
โปรแกรมฉีด Belotero Revive ต่างจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์อื่นอย่างไร?

โปรแกรมฉีด Belotero Revive เป็นสารเติมเต็มตัวเดียวที่มีส่วนผสมทั้ง กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) และกลีเซอรอล (Glycerol) ในตัวเดียวกัน ซึ่งจะต่างจากโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์อื่นๆ ที่มีส่วนประกอบเป็น Hyaluronic Acid เพียงอย่างเดียว โดยส่วนประกอบหลักทั้ง 2 ชนิดของโปรแกรมฉีด Belotero Revive นี้ ผลิตมาเพื่องานผิว หรือ Skin Quality โดยเฉพาะ ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยในการฟื้นฟูผิวดังนี้

  • Hyaluronic Acid มีคุณสมบัติช่วยเติมน้ำให้กับผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ผิวดูอ่อนเยาว์ มีความยืดหยุ่นมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการเติมเต็มได้ดี
  • Glycerol มีคุณสมบัติเรื่องการอุ้มน้ำ หรือกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว ยิ่งเราเติมน้ำเข้าไปในร่างกาย ผิวก็จะอุ้มน้ำได้ดียิ่งขึ้น ให้ผิวดูฉ่ำน้ำ ฉ่ำวาว นุ่มเด้ง ผิวเนียนละเอียด

โปรแกรมฉีด Belotero Revive จะช่วยยกระดับผิวใสให้ดูดีขึ้นถึง 4 มิติ (4D) ได้แก่

  • Skin Hydration ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นจากผิวชั้นใน ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว
  • Skin Glow ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส เนียนเด้ง พร้อมฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดและมลภาวะ
  • Skin Firmness ช่วยให้ผิวแน่น เฟิร์ม ดูกระชับ เรียบเนียน
  • Skin Elasticity ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้ผิวดูเด้ง อิ่มฟู

โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ Belotero Revive เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อเติมเต็มและแก้ไขใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณผิวที่มีริ้วรอยร่องลึก หรือผิวขาดน้ำ เพื่อทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้นฉ่ำวาว ผิวดูเรียบเนียน และเต่งตึงขึ้น รวมทั้งสามารถฉีดบริเวณลำคอ เพื่อลดร่อยเหี่ยวย่น ผิวหย่อนคล้อย ผิวแห้งกร้าน ให้กลับมาดูกระชับและดูอ่อนเยาว์ขึ้นด้วย

เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิว ดังนี้

  • ผู้ที่มีปัญหาหน้าโทรม ผิวแห้งกร้านขาดน้ำ ดูไม่สดใส
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความยืดหยุ่น
  • ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องตื้น หรือรอยหลุมสิวตื้นๆ
  • ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้าให้ดูเอิบอิ่ม ชุ่มชื้นขึ้น
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวสุขภาพดี หรือผิวพร้อมใช้งานในทุกสถานการณ์ ช่วยลดขั้นตอนในการบำรุงผิวหน้า
  • หลังเข้ารับบริการโปรแกรมฉีด Belotero Revive เสร็จทันที อาจมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันในบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้
  • ควรหลีกเลี่ยงการแตะ เกา กดนวดในบริเวณที่ฉีด โดยอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน แต่บางรายอาจมีอาการบวมนานประมาณ 7-8 วัน
  • แนะนำให้ทำการประคบเย็นหลังการฉีดจะสามารถช่วยลดอาการบวมและแดงลงได้
  • ทำโปรแกรมฉีด Belotero Revive 1 ครั้ง จะเริ่มเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลง โดยที่ผิวจะดูอิ่มฟู ชุ่มชื้น ฉ่ำวาว และรูขุมขนดูกระชับมากขึ้นประมาณ 2 สัปดาห์
  • เมื่อฉีดติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างในการฉีดต่อเนื่องทุก 1 เดือน จะเห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นและช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างเต็มที่ โดยที่จะได้ผิวชุ่มชื้นฉ่ำวาว Glass Skin หลุมสิวตื้นขึ้น และผิวเนียนเด้ง ดูอิ่มฟู

โดยทั่วไปหลังเข้ารับบริการโปรแกรมฉีด Belotero Revive ฉีดแค่ครั้งเดียวก็จะช่วยให้ผิวฉ่ำวาวอยู่ได้นานประมาณ 7-9 เดือน ทั้งนี้ ระยะเวลาโดยประมาณจะขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพของผิวของแต่ละบุคคลด้วย

สามารถฉีดร่วมกับหัตถการอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมฉีดโบท็อกซ์, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า หรือแก้ไขและเติมเต็มส่วนลึกโบ๋ รวมทั้งการใช้เครื่องยกกระชับ เช่น โปรแกรม Ultherapy, Hifu เป็นต้น แต่ทั้งนี้ก็ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตรงจุดกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคลมากที่สุด

  • Belotero Revive จะเน้นเรื่องงานผิว หรือ Skin Quality โดยมีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid และ Glycerol เข้มข้นกว่าสารเติมเต็มงานผิวตัวอื่นๆ ช่วยบำรุงผิวฉ่ำวาว เติมความชุ่มชื้น Glass Skin ผิวเล่นแสง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น
  • Rejuran ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กระจ่างใส เติมความชุ่มชื้น และแก้ไขปัญหาเรื่องหลุมสิว ซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ เหมาะกับคนที่กำลังมีปัญหารอยแผลเป็นจากสิว รูขุมขนกว้าง
  • Exosome จะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ผิวให้แข็งแรงขึ้น และลดการแพ้การอักเสบของผิว จุดด่างดำ หรือรอยสิว

วิธีดูแลตัวเองหลังรับบริการโปรแกรมฉีด Belotero Revive มีดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง หรือทาครีมบำรุง หลังฉีดประมาณ 12 ชั่วโมงแรก เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ เนื่องจากรอยเข็มอาจจะยังปิดไม่สนิท
  2. ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 1.5-2 ลิตร/วัน เนื่องจากตัวยาเป็นสารอุ้มน้ำ เมื่อฉีดแล้วจะทำให้ตัวยากลืนไปกับผิวได้เร็วขึ้น
  3. หลีกเลี่ยงการบีบ นวด กด จับในบริเวณที่ฉีด
  4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เนื่องจากอาจทำให้เกิดรอยแดงได้มากขึ้นและอาจไปกระแทกในบริเวณที่ฉีดได้
  5. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 1สัปดาห์ เนื่องจากอาจเพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือด ทำให้แผลบวมและช้ำนานกว่าปกติ
สิวเกิดจากอะไร?

สิว – เกิดจากความผิดปกติของรูขุมขนและต่อมเหงื่อ ที่เกี่ยวข้องกับการอุดตันภายในรูขุมขนจากการผลัดเซลล์ผิว น้ำมัน หรือไขมันถูกขับออกจากต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนังที่มากผิดปกติ ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน และเชื้อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C.acnes) ที่อาศัยอยู่บริเวณรูขุมขนก็จะเพิ่มจำนวนในบริเวณรูขุมขนที่มีการอุดตันมากขึ้น จนทำให้เกิดสิวขึ้นในที่สุด
อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นที่กระตุ้นให้เกิดการผลิตน้ำมันมากกว่าปกติ ได้แก่ กรรมพันธุ์ ฮอร์โมน และปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดสิวมากขึ้นด้วย เช่น ฝุ่นละออง การแต่งหน้า เหงื่อ การทำความสะอาดหน้าที่ไม่สะอาดพอ ก็เป็นตัวส่งเสริมในการเกิดสิวมากขึ้นนั่นเอง

  • จุดต่างๆ บนใบหน้า เช่น สิวที่หน้าผาก สิวที่จมูก สิวที่แก้ม สิวที่ปาก สิวที่คาง
  • สิวบนใบหูหรือรอบใบหูทั้งสองข้าง
  • สิวขึ้นที่หนังศีรษะและกรอบหน้าผาก
  • สิวบริเวณคอ และหน้าอก
  • สิวที่หลัง หรือหัวไหล่

โดยปกติแล้วสิวสามารถขึ้นได้ทุกที่บนร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น บริเวณใบหน้า ใบหู คอ หน้าอก แผ่นหลัง และแขน ซึ่งความเครียดก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสิวได้ง่าย เนื่องจากเมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะผลิตฮอร์โมนบางชนิดมากขึ้น เช่น ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgens) และฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันส่วนเกินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวมีน้ำมันและเกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดสิวได้ง่ายนั่นเอง

สิว สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่

  • สิวอุดตันหัวขาว เป็นตุ่มเม็ดเล็กๆ สีขาวอยู่ภายใต้ผิวหนัง เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว
  • สิวอุดตันหัวดำ เป็นตุ่มนูนสีดำเล็กๆ เกิดจากไขมันส่วนเกินและเซลล์ที่ตายแล้วอุดตันที่รูขุมขนแล้วเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจน จนทำให้หัวสิวกลายเป็นจุดสีดำ
  • สิวตุ่มแดง สิวตุ่มแดงขนาดเล็ก ไม่มีหัวสิว เกิดจากการอุดตันในรูขุมขน ทำให้เกิดการบวมแดงขึ้นมา และเป็นสิวที่ไวต่อการสัมผัส ถ้ายิ่งบีบจะทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียและอักเสบมากยิ่งขึ้น
  • สิวอักเสบ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงขนาดใหญ่ หากสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ เกิดจากสิวอุดตันที่มีเชื้อแบคทีเรีย C.acnes เจริญเติบโตในตุ่มสิว ทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมา
  • สิวหัวหนอง เป็นสิวที่ลุกลามมาจากสิวอักเสบ มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ บวม และมีหนองอยู่ตรงกลาง หากกดหรือบีบออกจะทำให้เกิดรอยแผลและรอยดำได้ง่าย
  • สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ หากสัมผัสจะรู้สึกแข็งเป็นไตและเจ็บมาก เกิดจากสิวอุดตันที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน โดยสิวชนิดนี้มักอยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนังและอาจมีหนองปนเลือด ซึ่งจะรักษาได้ยากกว่าสิวประเภทอื่น

สิวผด vs สิวอุดตัน ต่างกันยังไง?

  1. สิวผด
    • ความจริงแล้ว สิวผด หรือสิวเทียม ไม่ใช่ ‘สิว’ จัดเป็นผื่นประเภทหนึ่งที่เกิดจากอาการแพ้ หรือระคายเคืองจากแสงแดด ฝุ่นละออง เครื่องสำอาง รวมไปถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอ และการแพ้อาหารบางชนิด
    • มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเม็ดเล็กๆ ไม่มีหัว หากสัมผัสจะรู้สึกสากมือ หรือผิวไม่เรียบเนียน ซึ่งบางรายอาจมีอาการคันร่วมด้วย
  2. สิวอุดตัน
    • สิวอุดตันเกิดจากการที่รูขุมขนอุดตันจากสิ่งสกปรกตกค้างบนใบหน้า และการที่ผิวผลิตน้ำมันมากเกินไปผสมกับเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันขึ้นในบริเวณรูขุมขน
    • สิวอุดตัน แบ่งออกเป็นสิวอุดตันหัวขาวและหัวดำ และมีโอกาสลุกลามกลายเป็นสิวอักเสบได้
    • มีลักษณะเป็นตุ่มนูนออกมาจากผิวหนัง เมื่อสัมผัสโดนจะรู้สึกถึงความไม่เรียบ จะไม่มีอาการเจ็บ ปวด บวม หรือคัน

สิวอักเสบ จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง หรือมีความแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรง ซึ่งหากไม่มีอาการอักเสบรุนแรงมากจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงแบบมีหัวสิว หรือไม่มีหัวสิวก็ได้ ไปจนถึงสิวอักเสบแบบรุนแรงมากก็จะมีลักษณะเป็นสิวอักเสบก้อนลึกและมีตุ่มหนองร่วมด้วย และมักก่อให้เกิดความเจ็บปวดไปทั่วบริเวณที่มีสิว

สิวฮอร์โมนสามารถสังเกตได้ ดังนี้
  1. สิวฮอร์โมนในเพศหญิง
    • สิวฮอร์โมนในเพศหญิงมักจะเกิดขึ้นในช่วงก่อนหรือหลังมีประจำเดือน ประมาณ 1 สัปดาห์
    • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนอย่างรวดเร็วในช่วงของการตั้งครรภ์ ทำให้สิวฮอรโมนเห่อขึ้นมาก
    • หลังจากหยุดยาคุมกำเนิด
    • ในช่วงวัยก่อนหมดประจำเดือนและวัยหมดประจำเดือน
  2. สิวฮอร์โมนในเพศชาย
    • มักพบในช่วงวัยรุ่น เพราะร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเพศชาย “แอนโดรเจน (Androgens)” เพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดสิวฮอร์โมนขึ้นมา
    • มักจะมีสิวเห่อมากขึ้นในช่วงที่มีความเครียดสะสม และพักผ่อนไม่เพียงพอ
    • สิวฮอร์โมนสามารถเป็นได้ทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน
    • มักมีสิวเห่อขึ้นบริเวณเดิมซ้ำๆ หรือบางรายอาจมีสิวขึ้นทั่วใบหน้า
    • สิวฮอร์โมนมักจะขึ้นบริเวณรอบปาก คาง กราม หรือบริเวณกรอบหน้า แผ่นหลังและหน้าอก
  • การกดสิวอุดตันด้วยตัวเอง หากทำไม่สะอาด หรือกดออกไม่ถูกวิธี จะทำให้สิวอุดตันที่มีขนาดเล็ก สามารถกลายเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ขึ้นได้
  • เมื่อกดสิวไม่ถูกวิธีอาจทำให้กดหัวสิวออกไม่หมด ก็จะยิ่งทำให้เชื้อโรคและสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิวได้ง่าย จึงเพิ่มโอกาสทำให้เกิดสิวอักเสบเห่อมากขึ้น
  • การใช้อุปกรณ์กดสิวหรือใช้น้ำหนักมือไม่เหมาะสม จะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดอาการบาดเจ็บและเกิดการอักเสบและรอยแดงตามมา
  • เพื่อป้องกันการอักเสบและรอยแดงจากสิว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางรักษาสิวอย่างถูกวิธี
  • การสวมหน้ากากอนามัยอันเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สิวขึ้นเยอะจริง เนื่องจากหน้ากากอนามัยจะเกิดการเสียดสีกับใบหน้าของเราเมื่อมีการขยับใบหน้า ทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบจนเป็นสิวตามมา
  • หน้ากากอนามัยจะทำให้เกิดความชื้น ซึ่งเกิดจากเหงื่อ หรือละอองจากการไอจาม ทำให้เกิดการสะสมของของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกภายในหน้ากากอนามัยมากกว่าปกติ จึงก่อให้เกิดเชื้อโรคและเกิดสิวได้
  • การป้องกันโอกาสในการเกิดสิว ควรเปลี่ยนหน้ากากระหว่างวันเมื่อมีความชื้น

การแต่งหน้าบ่อยๆ หรือแต่งหน้าจัดตลอดเวลาอาจทำให้เกิดสิวอุดตันได้ เพราะการใช้เครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นรองพื้น ครีมกันแดด หรือแป้งผสมครีมรองพื้น และผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมัน แล้วทำความสะอาดผิวหน้าไม่ดีพอ จะทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกหรือการสะสมของเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้า ก็สามารถทำให้เกิดสิวอุดตันและเกิดอาการอักเสบเป็นสิวตามมาได้
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสิวอุดตัน คือ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม และพาราเบน แล้วเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า Non-Comedogenic, Oil-Free เพราะจะไม่ก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมชน และควรล้างหน้าให้สะอาดหมดจดด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับการล้าง Make up โดยเฉพาะ

การบีบสิว หรือกดสิว จะทำให้ผิวถูกรบกวนจนเกิดเป็นการระคายเคืองและอักเสบตามมา เนื่องจากเมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบจะทำให้เม็ดเลือดขาวเข้ามาป้องกันเชื้อโรค จึงเกิดอาการบวมแดงหลังจากบีบสิวหรือกดสิวขึ้นมานั่นเอง
ทั้งนี้ หากมีสิวไม่ควรบีบ แคะ แกะ หรือสัมผัสบริเวณที่เป็นสิว เพราะจะทำให้สิวมีอาการอักเสบรุนแรงขึ้นกว่าเดิมได้

การนอนดึก หรือพักผ่อนน้อย เป็นหนึ่งปัจจัยที่มีแนวโน้มทำห้สิวเห่อขึ้น เนื่องจากการนอนดึกจะเกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียดเลือดและต่อมน้ำเหลือเหลืองให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นมา
รวมทั้งการพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น ต่อมไขมันจึงต้องผลิตน้ำมันมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อพยายามรักษาความชุ่มชื้นบนผิวหน้า จึงส่งผลให้หน้ามันเยิ้มแล้วเกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งมีโอกาสเป็นสิวอุดตันและสิวอักเสบลุกลามได้ง่ายด้วย
ข้อแนะนำจึงควรเข้านอนก่อน 22:00 น. หรือไม่เกิน 24:00 น. เพราะช่วงเวลา 22:00 น. – 02.00 น. ร่างกายจะสร้างโกรทฮอร์โมนออกมาซ่อมแซมเซลล์ผิวใหม่ขณะหลับ ซึ่งจะช่วยให้ผิวแข็งแรงและดูสดใส อีกทั้งควรพักผ่อนให้ได้ 6-8 ชั่วโมง/วัน

ผู้ที่มีผิวไม่แข็งแรง เป็นสิวง่าย ผิวอักเสบง่าย หรือผิวมันมากกว่าปกติ แนะนำให้ดูแลผิวของตัวเองดังนี้

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนและมีส่วนผสมมอบความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ดี เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid), เซราไมด์ (Ceramides), กลีเซอรีน (Glycerin) เป็นต้น
  • ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารเคมี พาราเบน สารแต่งสี และน้ำหอม เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการอักเสบระคายเคือง
  • ปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA ที่เหมาะสมเป็นประจำ เพื่อช่วยให้ผิวได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่
  • ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  • ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน หรือเบามือ เพื่อไม่ทำให้ผิวถูกเสียดสีและเกิดการระคายเคือง
  • ทำความสะอาดผิวให้สะอาดหมดจด เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกหรือสิ่งตกค้างบนผิว
  • ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินสูง อย่างเช่น วิตามิน C, B12, B2, B6 หรือแมกนีเซียม เพื่อบำรุงผิวให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก
  • หมั่นทำความสะอาดสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่ต้องสัมผัสผิวหน้าอย่างเป็นประจำ เช่น แปรงแต่งหน้า, ปลอกหมอน, ผ้าห่ม, ผ้าปูที่นอน, ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าเช็ดตัว เป็นต้น เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบดทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เกิดสิวได้ง่าย
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดจนเกินไป เพราะปัจจัยเหล่านี้จะลดการเกิดสิวได้

เป็นสิวอักเสบใช้ครีมกันแดดได้ไหม?
สามารถทาครีมกันแดดได้ เพราะการใช้ครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นคนเป็นสิวก็ยังคงมีความจำเป็นอยู่เช่นเดียวกัน แต่ควรเลือกครีมกันแดดแบบ Physical Sunscreen
โดยครีมกันแดดแบบ Physical Sunscreen คือ ครีมกันแดดที่ทำหน้าที่คล้ายเกราะสะท้อนรังสี UV ให้กระจายออกไปจากผิว เมื่อทาแล้วจะเคลือบอยู่บนผิว ถูกดูดซึมเพียงเล้กน้อย และไม่มีสารเคมี ไม่ทำให้ระคายเคือง รวมทั้งไม่เพิ่มความมันบนใบหน้า ลดโอกาสอุดตันในรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่เป็นสิว เพราะจะเสี่ยงให้สิวยิ่งมีความอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรียจากมือที่สกปรกมากยิ่งขึ้น
  • งดการบีบสิวที่พึ่งขึ้น เพราะการบีบสิวจะทำให้เกิดการอักเสบได้ง่ายมากขึ้น แล้วเกิดเป็นสิวอักเสบได้ในที่สุด
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด เนื่องจากแสงแดดสามารถกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการมีผิวมันก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวนั่นเอง
  • ควรดูแลความสะอาดผิวจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งตกค้างที่จะไปอุดตันรูขุมขน และควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง หรือระคายเคือง และควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำมัน
  • หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน และอาหารที่มีรสหวานจัด เพราะอาหารเหล่านี้จะกระตุ้นการเกิดสิวมากขึ้น
  • ควรเปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรก น้ำมัน และแบคทีเรียได้
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึกจนเกินไป เพราะจะช่วยให้ Growth Hormone ที่หลั่งขณะที่เรานอนหลับสามารถทำงานซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวของเราได้เต็มที่
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย และปรับปรุงระบบการไหลเวียนโลหิตให้ทำงานได้ดีขึ้น
  • จัดการความเครียด หรือทำสมาธิ เพื่อปรับสมดุลของระดับฮอร์โมนและลดความเสี่ยงของการเกิดสิวจากความเครียดได้
  1. รอยดำจากสิวหายเองได้ไหม
    โดยปกติแล้วรอยดำจากสิวจะสามารถจางลงได้เองตามธรรมชาติ ภายใน 4-6 เดือน หรืออาจจะนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับระดับของรอยดำแต่ละบุคคล
  2. วิธีรักษารอยดำจากสิวทำอย่างไรได้บ้าง
    แม้รอยดำสามารถหายได้เอง แต่จะใช้ระยะเวลานาน ซึ่งสำหรับใครที่ต้องการให้รอยดำจากสิวจางลงเร็วขึ้น สามารถใช้ตัวช่วย อย่างเช่น การทาครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี AHA BHA หรือใช้หัตถการ เช่น การทำทรีตเมนต์ผิว หรือการรักษาด้วยเลเซอร์ เป็นต้น
    ทั้งนี้ ทางที่ดีแนะนำให้เข้าปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการประเมินปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไขและหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลอย่างตรงจุด
  3. รักษาสิวที่ Doctorlife Clinic มีโปรแกรมอะไรบ้าง?
    โปรแกรมที่จะช่วยลดเลือนสิว หรือดูแลในเรื่องสิวของ Doctorlife Clinic มีดังนี้
      • โปรแกรมรักษาสิว 5 ขั้นตอน

    เป็นโปรแกรมที่จะช่วยลดปัญหาสิวซ้ำซาก แก้ปัญหารูขุมขนอุดตัน ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้น และช่วยควบคุมความมัน โดยมี 5 ขั้นตอน ได้แก่

        • คลีนหน้า หรือทำความสะอาดผิวหน้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรก ฝุ่นควัน หรือเครื่องสำอางตกค้าง
        • กดสิวอุดตัน เพื่อลดโอกาสกลายเป็นสิวอักเสบที่อาจรักษาได้ยากขึ้น
        • ฉายแสงด้วยนวัตกรรมแสงสีฟ้า (Blue Light) เพื่อฆ่าเชื้อสิว ลดการอักเสบของสิว และตัดวงจรสิว
        • มาส์กหน้า เพื่อลดการอักเสบของสิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
        • ลงเซรั่มบำรุงผิว เพื่อช่วยควบคุมสมดุลความมันบนใบหน้า ลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ พร้อมป้องกันผิวจากแสงแดดและมลภาวะ
      • Acne Clear Laser

    โปรแกรมที่จะช่วยยับยั้งการเกิดสิว สิวอุดตัน ลดสิวอักเสบ ฆ่าเชื้อสิว C.acnes พร้อมช่วยฟื้นฟูรอยดำและรอยแดงจากสิว เพื่อให้ผิวกลับมาเนียนใส สีผิวดูสม่ำเสมอ

      • Pico Laser

    เป็นโปรแกรมที่จะช่วยแก้ปัญหาสิวที่หน้าและสิวที่หลังได้ดี โดยการใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์ที่มีความถี่สูงในการทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติ ช่วยกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้รอยจุดด่างดำจากสิวอักเสบจางลง ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

  1. ทำไมถึงเป็นสิวที่คาง?
    สิวที่คาง สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากฮอร์โมน พันธุกรรม การระคายเคืองจากการสวมหน้ากากอนามัยที่เป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง ความอับชื้น ฝุ่น และมลภาวะ ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดการอักเสบเป็นสิวที่คางได้ง่าย
  2. สิวที่คางเห่อ เกิดจากฮอร์โมนจริงหรือไม่?
    จริง การเกิดปัญหาสิวเห่อที่คางหนักมากเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเป็นส่วนใหญ่ โดยการทำงานผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชาย อย่างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) เพิ่มสูงขึ้น แล้วทำให้ต่อมไขมันบนใบหน้าผลิตน้ำมันมากขึ้นจนเกิดการอุดตันในรูขุมขนและเกิดเป็นสิวที่คางในที่สุด
    รวมทั้งผู้หญิงในช่วงที่มีประจำเดือน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ออกมามาก แล้วกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากเช่นกัน ซึ่งจะทำให้เพิ่มจำนวนของเชื้อแบดทีเรียและทำให้มีโอกาสเกิดสิวอักเสบที่คางเห่อขึ้นมากกว่าเดิมด้วย
  3. การป้องกันไม่ให้เกิดสิวที่คางซ้ำๆ ด้วยตัวเองทำอย่างไรได้บ้าง?
    • ล้างหน้าให้สะอาดหลังใช้เครื่องสำอาง เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรก
    • ควรล้างหน้าทุกวัน วันละ 2 ครั้ง และไม่ล้างบ่อยเกินไป เพราะทำให้หน้าแห้งและเป็นการกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันได้
    • ควรล้างยาสระผมและครีมนวดผมให้สะอาด เพื่อช่วยลดสิวที่คางและสิวกรอบหน้า
    • แนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยลดสิว หรือหน้ากากอนามัยที่อ่อนโยนต่อผิว และขนาดกระชับพอดีกับใบหน้า เพื่อลดการระคายเคืองที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวที่คาง
    • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ไม่นอนดึกเกินไป พักผ่อนให้เพียงพอ ลดเครียด และออกกำลังกาย เป็นต้น
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาลสูง
    • หลีกเลี่ยงการนั่งเท้าคาง ลูบคาง หรือสัมผัสบริเวณคางบ่อยๆ
    • แนะนำให้ใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ระบุว่า ‘Non-comedogenic’ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการอุดตันและระคายเคืองผิวหน้า
  1. สิวที่หลัง เกิดจากอะไร?
    เกิดจากการอุดตันของระบบต่อมไขมันในรูขุมขนจากผิวหนังที่ตายแล้วและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสิวที่หลังจะมีตัวกระตุ้นเพิ่มเติมที่ทำให้เกิดเป็นสิวอุดตัน แล้วกลายเป็นสิวอักเสบ และสิวตุ่มหนองตามมาได้ง่าย ได้แก่
    • เหงื่อ หรือสิ่งสกปรกผสมเข้ากับน้ำมันบนผิว
    • การสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น ระบายอากาศได้ไม่ดีพอ จนทำให้เกิดการอับชื้นหมักหมม
    • การทาครีมหรือโลชั่นบางชนิดอาจทำให้รูขุมขนอุดตันได้
    • เส้นผมที่ปรกบริเวณแผ่นหลังที่มีน้ำมันและสิ่งสกปรกสะสม
    • การเสียดสีจากเสื้อผ้าบริเวณแผ่นหลัง ทำให้ผิวอักเสบและระคายเคือง จนเกิดเป็นสิวที่หลังตามมาได้ง่าย
    • การใส่ชุดนอนตัวเดิมซ้ำๆ จนทำให้เกิดคราบเหงื่อและความอับชื้นสะสม
    • เช็ดตัวไม่แห้งหลังอาบน้ำ จะทำให้เกิดแบคทีเรียสะสมบริเวณแผ่นหลังได้ง่าย
  2. สิวที่หลังบีบได้ไหม?
    การบีบสิวที่หลัง เป็นวิธีที่ไม่ควรทำด้วยตัวเอง เนื่องจากจะทำให้เกิดบาดแผลแล้วทำให้เชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิวได้ง่าย ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้บริเวณที่เป็นสิวที่หลังเกิดการอักเสบติดเชื้อและเป็นสิวที่รุนแรงมากขึ้นได้
    ดังนั้น ไม่ควรบีบหรือกดสิวที่หลังด้วยตัวเอง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่เป็นสิวที่หลังด้วย แต่หากต้องการรักษาปัญหาสิวที่หลังควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาแนวทางในการดูแลปัญหาสิวที่หลังอย่างถูกวิธี
  3. สิวที่หลัง รักษายังไงดี?
    • วิธีการรักษาสิวที่หลัง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินระดับปัญหาสิวที่หลังของแต่ละบุคคล และเพื่อหาวิธีรักษาสิวที่หลังที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลด้วย เพราะหากรักษาด้วยตัวเองไม่ถูกวิธี อาจทำให้ทิ้งรอยแผลเป็น หรือเป็นหลุมสิวได้
    • รักษาความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอน หรือปลอกหมอน เพื่อลดการสะสมของฝุ่นละออง เหงื่อ และสิ่งสกปรก ที่อาจะทำให้เกิดการอุดตันบนแผ่นหลังได้
    • ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่น เพื่อลดการเสียดสีระหว่างแผ่นหลังกับเสื้อผ้า และเพื่อให้ระบายอากศได้ดีมากขึ้น
    • ถ้าออกกำลังกายเสร็จแล้ว ควรรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้เร็วที่สุด เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกและแบคทีเรียบนผิวหนัง
    • แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยน เพื่อลดการอุดตันในรูขุมขน
    • แนะนำให้สระผมในช่วงตอนเย็น เพื่อทำความสะอาดคราบมัน เหงื่อไคล และสิ่งสกปรกที่ติดบนเส้นผมมาตลอดทั้งวัน และควรเป่าให้แห้งก่อนนอน
  1. สิวขึ้นบนใบหู หรือรอบใบหูทั้งสองข้าง เกิดจากอะไร? สาเหตุสำคัญที่มักทำให้สิวขึ้นบนใบหู ได้แก่
    • ไม่รักษาความสะอาดบริเวณใบหูทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย
    • ชำระล้างยาสระผม หรือสบู่ บริเวณใบหูไม่ดี ทำให้ฟองตกค้างอยู่ที่ซอกหู ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกได้ง่าย
    • ไม่ทำความสะอาดปลอกหมอน หรือที่นอน ซึ่งเป็นแหล่งสะสมฝุ่นผสมกับเหงื่อไคล และน้ำลาย
    • ใช้หูฟังที่ไม่ทำความสะอาด หรือชอบใช้หูฟังร่วมกับคนอื่น ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียแล้วทำให้เกิดสิวได้
    • แพ้ยาสระผม ครีมนวดผม หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ
    • สิ่งสกปรกจากการใช้โทรศัพท์เวลาแนบหู
    • การสวมหน้ากากอนามัยซ้ำๆ
  2. สิวที่หูบอกโรคอะไร? ปัญหาการเกิดสิวอักเสบที่หู อาจสันนิษฐานได้ว่าเกี่ยวข้องกับภาวะการทำงานที่ผิดปกติของไต ทำให้ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ดีเท่าปกตินั่นเอง แต่ไม่ใช่ทุกกรณีที่เกิดสิวบนใบหูแล้วจะต้องเป็นโรคร้ายแรง ถ้าหากไม่แน่ใจหรือมีสิ่งปกติเกิดขึ้นมากกว่าสิว แนะนำให้ปรึกษากับแพทย์เพื่อตรวจสอบอาการที่แน่ชัด
  3. การดูแลป้องกันสิวที่หูทำอย่างไรได้บ้าง?
    • ล้างหูด้วยสบู่อ่อนๆ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ระหว่างอาบน้ำ เพื่อลดการสะสมของความมัน เหงื่อ แบคทีเรีย และเซลล์ผิวหนังที่ตาย
    • ควรทำความสะอาดผ้าเช็ดหน้า ผ้าปูที่นอน และปลอกหมอน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียสาเหตุทำให้เกิดสิวที่หู
    • หลีกเลี่ยงการแกะ บีบ หรือสัมผัสบริเวณใบหูที่เป็นสิว เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้สิวที่หูอักเสบมากขึ้น
    • ควรทำความสะอาดหูฟัง ต่างหู หรือเครื่องประดับที่ใช้บริเวณใบหูอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรก
    • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสระผม หรือโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของพาราเบนและซิโคน เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันในบริเวณหูได้ง่าย

เหนียง เป็นไขมันที่สะสมอยู่บริเวณใต้คาง มีลักษณะเป็นผิวหนังหย่อนคล้อยลงมา ทำให้ดูเหมือนมีคางสองชั้น (Double Chin) สามารถสังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากภายนอก ซึ่งเหนียงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือเป็นคนที่มีรูปร่างผอมเพรียวก็มีปัญหาเหนียงออกได้

เหนียง หรือไขมันสะสมใต้คาง สามารถเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่

  • กรรมพันธุ์ หากคนในครอบครัวมีผิวหนังที่มีความยืดหยุ่นน้อย ผิวหนังไม่เต่งตึง ส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะมีเหนียงมากกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากมีโครงสร้างใบหน้าและคอที่เอื้อต่อการสะสมไขมันบริเวณนี้
  • อายุ เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ผิวหนังจะสูญเสียคอลลาเจน ทำให้ความยืดหยุ่นลดลง และเกิดเป็นผิวหย่อนคล้อย ส่งผลทำให้เกิดเหนียงได้ง่ายขึ้น รวมทั้งระบบเผาผลาญก็จะต่ำลง ทำให้เกิดไขมันสะสมได้ง่ายอีกด้วย
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้น คนที่มีน้ำหนักตัวมากมักจะมีไขมันสะสมบริเวณคอและใบหน้ามากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวน้อย จนเห็นเป็นเหนียงที่ชัดเจน
  • การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ผู้ที่น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วอาจทำให้ผิวหนังบริเวณคอและใบหน้าหย่อนคล้อยลง จนเกิดเป็นเหนียงได้
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ท่าทางการใช้งานกล้ามเนื้อคอและใบหน้า เช่น การก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคออ่อนแรงและเกิดเป็นรอยพับใต้คาง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดเหนียงโดยไม่รู้ตัว
  • คางสั้น คนที่มีปัญหากระดูกคางสั้น จะทำให้เห็นเหนียงได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อผิวขาดความกระชับ เกิดความหย่อนคล้อย ปลายคางของเราจะเชื่อมกับลำคอ เมื่อมองมาแล้วจะเหมือนเป็นส่วนเดียวกัน ทำให้ดูมีเหนียงเยอะกว่าคนที่มีคางที่ได้สัดส่วน
  • การรับประทานอาหาร ผู้ที่มักชอบรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล อาหารไขมันสูง หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทของทอด ของมัน ขนมกรุบกรอบ อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป ชากาแฟ และน้ำหวานต่างๆ ในปริมาณมากเกินความต้องการ และไม่มีการออกกำลังกาย จะทำให้เกิดการสะสมของชั้นไขมันตามร่างกายมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณใต้คางจนทำให้เกิดเหนียงขึ้นมา
  • การสูบบุหรี่ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่จะทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเกิดความหย่อนคล้อยและเกิดเหนียงได้ง่ายขึ้น

การสังเกตว่าตัวเองเริ่มมีเหนียงหรือไขมันใต้คางเยอะขึ้น ทำได้ดังนี้

  • ส่องกระจกแล้วให้ลองก้มหน้าเล็กน้อย ถ้าเริ่มมีไขมันสะสมที่ใต้คางก็จะเห็นเป็นคางซ้อนสองชั้นได้
  • ลองใช้มือหยิบเนื้อผิวหนังใต้คางแล้วพบว่ามีก้อนไขมันหรือผิวหย่อนคล้อยยื่นออกมาจากใต้คาง
  • เมื่อถ่ายรูปใบหน้าของตัวเองจากทั้งมุมตรงและมุมข้างแล้วไม่เห็นกรอบหน้า แต่รู้สึกว่าใบหน้าดูอวบขึ้น

วิธีลดเหนียงด้วยตนเองจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ก็ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและอาจใช้ระยะเวลานานในการเห็นผลลัพธิ์พอสมควร ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

  • ลดเหนียงด้วยท่าบริหารใบหน้าง่ายๆ เช่น ท่ายืดกราม โดยการเงยหน้าขึ้นมองเพดาน แล้วพยายามยื่นคาง หรือยืดคอไปข้างหน้าให้ได้มากที่สุดจนรู้สึกว่าใต้คางตึง จากนั้นให้ทำท่านี้ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที
  • ควบคุมอาหาร โดยการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อในปริมาณที่พอดี และให้เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารที่มีไขมันสูง มีน้ำตาลสูง หรือหลีกเลี่ยงอาหารประเภทของทอดของมัน และอาหารแปรรูปทุกชนิด เพื่อลดการก่อตัวและสะสมของไขมัน
  • ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ผิวกระชับและเต่งตึงขึ้นได้ทั่วร่างกาย รวมทั้งบริเวณเหนียงใต้คางก็จะกระชับขึ้นด้วย และช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น
  • สามารถลดเหนียงด้วยการบริหารกล้ามเนื้อโดยการเคี้ยวหมากฝรั่ง แต่ทั้งนี้ก็ต้องระมัดระวังอย่าเคี้ยวบ่อยมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดปัญหากรามใหญ่แทนได้

การใช้ลูกกลิ้งนวดหน้า หรือหินกัวซา เป็นตัวช่วยในการลดเหนียงได้ รวมถึงช่วยในการไหลเวียนของโลหิตบริเวณหน้าดีขึ้นและทำให้ผิวตึงกระชับด้วย แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และต้องอดทนรอการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งกว่าจะเห็นผล
นอกจากนี้ต้องใช้อย่างถูกวิธี ระวังเรื่องการลงน้ำหนักระหว่างใช้ เพราะอาจทำให้เกิดอาการอักเสบระคายเคืองได้ อีกทั้งหากดูแลลูกกลิ้งไม่สะอาดพอก็อาจส่งผลทำให้สิวขึ้นตามมาได้อีกด้วย

ได้ แต่จะต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และต้องใช้ความอดทนสูง เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผลว่าเหนียงที่คอลดลงอย่างชัดเจน

โปรแกรม Fat killer ที่ Doctorlife Clinic เป็นโปรแกรมที่จะช่วยลดไขมันในชั้นไขมันและลดเซลลูไลท์บริเวณใต้คาง หรือเหนียงแบบไม่ต้องผ่าตัด เพื่อทำให้เห็นกรอบหน้าชัดขึ้น โดยไขมันที่สลายจะถูกขับออกมาตามกลไกการขับของเสียตามธรรมชาติของร่างกาย และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่แทนที่ชั้นไขมัน ทำให้สัดส่วนบริเวณใต้คางดูกระชับขึ้นได้รูปตามต้องการ

โปรแกรม Fat Killer เหมาะสำหรับ

  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินสะสมบริเวณเหนียงใต้คาง หรือมีคางสองชั้น
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง น้ำหนักตัวเกิน หรือมีไขมันสะสมเฉพาะจุด
  • ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดหรือดูดไขมัน
  • ผู้ที่ไม่อยากเสียเวลาพักฟื้นนาน
  • ช่วยสลายไขมันส่วนเกินใต้คาง แก้ปัญหาเหนียงย้อย คางสองชั้น กรอบหน้าไม่กระชับได้ดี
  • ใช้เวลาในการทำหัตถการไม่นาน
  • ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการดูดไขมัน
  • ไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัด ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
  • ตัวยาสกัดจากธรรมชาติ มีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย
  • ช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินได้รวดเร็วกว่าการออกกำลังกาย หรือควบคุมอาหาร
  • ไม่แสบขณะทำหัตถการ
  • สามารถทำซ้ำได้ เพื่อให้เห็นผลดียิ่งขึ้น โดยสามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

หลังทำโปรแกรมสลายไขมันเหนียง อาจมีอาการบวมช้ำเล็กน้อย โดยเฉพาะผู้ที่ทำครั้งแรกอาจเกิดอาการบวมได้มากกว่าผู้ที่เคยทำมาแล้ว แต่จะสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ
โดยจะค่อยๆ ยุบบวมลงไปเองภายใน 3-4 ชั่วโมง (บางรายอาจมากกว่านั้น) และหายเป็นปกติได้เองภายใน 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับปริมาณยาที่ใช้ สภาพผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังทำด้วย

  • หลังทำโปรแกรมสลายไขมันเหนียง งดกด คลึง นวด บริเวณที่ทำ ประมาณ 3-4 ชั่วโมงเพราะอาจทำให้อักเสบและบวมแดงกว่าเดิม
  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อช่วยให้ไขมันถูกขับออกจากร่างกายได้มากขึ้น
  • ควรหลีกเลี่ยงการอบซาวหน้า นวดหน้า หรือทำเลเซอร์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลังทำหัตถการสามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมได้
  • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ประมาณ 1 สัปดาห์หลังทำ เพื่อไม่ให้อาการบวมช้ำแย่ลง
  • แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ลดของทอด ของมัน ของหวาน เพื่อไม่ให้ไขมันส่วนเกินกลับมาสะสมอีก

โปรแกรม Morpheus8 เป็นเครื่องยกกระชับและแก้ปัญหาผิว โดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF (Radio frequency) ที่สามารถปรับระดับความลึกและค่าพลังงาน ผ่านเข็มขนาดเล็กทะลุสู่ชั้นผิวหนัง 1-4 mm ได้ตรงจุดตามปัญหาที่ต้องการรักษาของแต่ละบุคคล ทำให้ผิวหนังเกิดการหดตัว กระตุ้นการจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวชั้นหนังแท้ให้แน่นขึ้น ส่งผลให้เหนียงหรือผิวหนังใต้คางที่หย่อนยานถูกยกกระชับให้เต่งตึงขึ้นและกรอบหน้ามีความชัดขึ้น รวมทั้งช่วยลดรอยเหี่ยวย่นให้จางลงไปด้วย

  • ผู้ที่ต้องการลดเหนียง ลดแก้ม เพิ่มกรอบหน้าให้ชัดขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการลดเหนียงโดยไม่ต้องการผ่าตัด
  • ผู้ที่ต้องการลดไขมันที่ใบหน้าและต้องการยกกระชับใบหน้าในเวลาเดียวกัน
  • ผู้ที่ต้องการให้ผิวเรียบตึง
  • ในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกหลังทำ อาจเกิดอาการบวมแดง หรือรอยช้ำขึ้น เนื่องจากใต้ผิวเกิดความร้อนจากคลื่นวิทยุ ทางคลินิกจะประคบเย็นให้ทันทีหลังทำ
  • ภายใน 24 ชั่วโมง รอยแดงจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายกลับสู่สภาพผิวปกติ
  • อาจเกิดสะเก็ดบางๆ ตามจุดที่ยิง แต่สามารถหลุดลอกเองได้

** ข้อแนะนำ ให้งดการแกะ เกาบริเวณที่เกิดสะเก็ด เพื่อลดการอักเสบและลดการเกิดรอยแผล

  • หากมีอาการบวมสามารถประคบเย็นทันทีหลังทำ
  • ควรหลีกเลี่ยงการโดนน้ำบริเวณที่รักษา หลังทำประมาณ 24 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง การออกกำลังกาย การซาวน่า การว่ายน้ำ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • หลังแผลตกสะเก็ด แนะนำให้หมั่นทามอยเจอไรเซอร์ เพื่อบำรุงผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว
  • งดแกะ เกา บริเวณที่เกิดสะเก็ด เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นและป้องกันการติดเชื้อบริเวณที่ทำหัตถการ
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ AHA BHA เรตินอล เรตินอยด์ หรือกลุ่มผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 14 วัน
  • หลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่มีความร้อนอย่างการทำเลเซอร์อย่างน้อย 1 เดือน
  • เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันส่วนเกินกลับมาสะสมใหม่บริเวณใต้คาง ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน

โปรแกรม Ultra V Lock เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่น RF หรือ Radio Frequency ส่งผ่านความร้อนเข้าสู่ผิวชั้นลึกถึงผิวหนังชั้นไขมัน แล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อผิว ช่วยให้ผิวตึงกระชับ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ไปจนถึงกระตุ้นให้เกิดการสลายตัวของไขมัน ช่วยยกกระชับเหนียงย้อยให้เฟิร์มขึ้น พร้อมปรับกรอบหน้าให้ชัดขึ้นด้วย เนื่องจากไขมันลดหายไปนั่นเอง

  • ยกกระชับผิวหน้าได้ถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
  • แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นเฉพาะจุด โดยเฉพาะบริเวณเหนียงใต้คาง
  • ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับ
  • ลดไขมันสะสมในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้ไขมันใต้ผิวลดลง
  • ผู้ที่มีเหนียงใต้คาง มีไขมันส่วนเกิน หรือต้องการกระชับกรอบหน้า
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล่อย ผิวไม่กระชับ
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเรียว
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจน ให้ผิวดูเปล่งปลั่ง
  • ผู้ที่กลัวเจ็บจากการผ่าตัดศัลยกรรม หรือไม่มีเวลาพักฟื้นนาน
  • แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ประมาณ 1.5-2 ลิตร เพื่อขับของเสียและไขมันสะสมออกจากร่างกาย
  • ควบคุมอาหาร ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน เพื่อป้องกันไขมันส่วนเกินกลับมาสะสมได้ใหม่
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการขับของเสียออกจากร่างกาย
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เนื่องจากมีสารที่จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด อย่างน้อย 7 วัน และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิว หรือการใช้ AHA ประมาณ 1 สัปดาห์

ดูดไขมันเหนียง เป็นการผ่าตัดลดไขมันส่วนเกินบริเวณใต้คางและลำคอส่วนบน ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยแผลและมีความเสี่ยง ดังนี้

  • ความเสี่ยงในการอักเสบและการติดเชื้อบริเวณที่ผ่าตัด
  • อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการสะสมของเลือดหรือน้ำเหลืองในบริเวณที่ดูดไขมัน และอาจทำให้ฟื้นตัวช้า
  • หลังทำอาจสังเกตเห็นความไม่เรียบหรือความไม่สม่ำเสมอของผิวหนังบริเวณใต้คาง
  • หากใช้วิธีการไม่เหมาะสม อาจจะส่งผลให้ผิวไม่กระชับ เนื้อเยื่อเกิดการเสียหาย และเกิดรอยช้ำเขียวเป็นเวลานาน
  • การเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาชาหรือยาสลบ
  • อาจได้ผลลัพธ์ใบหน้าไม่เท่ากัน
ดังนั้น ก่อนเข้ารับบริการควรปรึกษากับศัลยแพทย์ เพื่อประเมินว่าหัตถการนี้เหมาะสมกับคุณหรือไม่

หลังเข้ารับบริการดูดไขมันเหนียง จะมีอาการบวมประมาณ 1-2 สัปดาห์ และจะค่อยๆ ดีขึ้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ตามลำดับ (บางรายอาจมีอาการบวมเล็กน้อยนาน 2-3 เดือน) ซึ่งระยะเวลาการบวมของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ดูดออก สภาพร่างกาย และการดูแลตัวเองหลังดูดไขมันลดเหนียงด้วย

หลังดูดไขมันเหนียงแล้วอาจเกิดปัญหาผิวย้วยได้ เนื่องจากผิวหนังมีการยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว จากการดูดไขมันในปริมาณมากเกินไป หรือไขมันหายไปในช่วงเวลาสั้นๆ จึงทำให้เกิดโพรงขนาดใหญ่ แล้วส่งผลให้ผิวหนังเกิดการยุบตัวตามรอยว่าง จึงทำให้ผิวย้วยและไม่เรียบเนียนตามมาได้ ทั้งนี้ หากเกิดปัญหาผิวย้วย ผิวหย่อน ดูไม่กระชับ สามารถแก้ได้ด้วยการใช้โปรแกรม Morpheus8 และ Ultra V Lock ได้

การดูดไขมันเหนียงถือว่าเป็นการกำจัดไขมันถาวรในบริเวณที่ทำ ซึ่งหากมีการดูแลสุขภาพและรักษาน้ำหนักให้ดี โดยการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้ไขมันกลับมาสะสมเป็นเหนียงใต้คางใหม่ได้

การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สามารถทำให้มีเหนียงที่คอได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้น้อยลง จึงทำให้เกิดไขมันสะสมไว้ภายในร่างกายมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนของใบหน้าและเหนียงใต้คาง รวมทั้งการดื่มแอลกอฮอล์ยังทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้ต้องกักเก็บน้ำให้มากขึ้น จนเกิดเป็นอาการบวมน้ำที่หน้า ทำให้หน้าบวม แก้มป่อง และมีเหนียงมากขึ้น

การชอบรับประทานอาหารในตอนดึก อาจส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารได้ดีเท่าที่ควร เพราะร่างกายไม่ได้นำพลังงานเหล่านั้นไปใช้มากพอที่จะเผาผลาญแคลอรีได้หมด จนเกิดการสะสมไขมันและก่อให้เกิดเหนียงขึ้นมาได้

พุง เกิดจากอะไร?

พุง เกิดจากการสะสมของไขมันในชั้นผิวบริเวณหน้าท้องที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นภาวะที่ระบบการเผาผลาญพลังงานผิดปกติ ส่งผลให้หน้าท้องยื่น พุงป่อง หรือหย่อนคล้อยออกมา โดยมักมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดพุง ดังนี้

  • รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของหวาน น้ำอัดลม อาหารฟาสต์ฟูด เป็นต้น
  • รับประทานไม่เป็นเวลา กินจุบกินจิบตลอดทั้งวัน
  • ดื่มแอลกอฮอลล์เป็นประจำ
  • ไม่ออกกำลังกาย
  • นั่งเป็นเวลานานๆ ไม่ขยับตัว
  • ภาวะเครียด
  • กรรมพันธุ์
  • อายุเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการเผาผลาญน้อยลง
  • โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • ความผิดปกติของต่อมไรท่อ เช่น ต้อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์
  • คุณแม่หลังคลอด หน้าท้องยืดขยายเป็นเวลานาน หรือถูกไขมันสะสมอยู่นาน

พุงของคนเราสามารถจำแนกออกได้เป็น 5 แบบ ซึ่งมีลักษณะดังนี้

  • พุงกลม (Alcohol Belly) มีลักษณะกลมป่องและยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีไขมันสะสมจำนานมาก พบมากในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เพราะแอลกอฮอล์มีแคลอรีและน้ำตาลสูง รวมทั้งมีส่วนทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานยากขึ้น
  • พุงป่อง (Bloated Belly) มีลักษณะคล้ายพุงกลม แต่พุงจะแบนในช่วงเช้า แล้วจะป่องออกมาในตอนกลางวัน หรือเกิดขึ้นหลังจากทานอาหาร เกิดจากการรับประทานอาหารที่ย่อยยาก หรือมีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก ทำให้มีอาการท้องอืด แน่นท้อง และพุงป่องนั่นเอง
  • พุงหมาน้อย หรือพุงป่องช่วงล่าง (Hormonal Belly) มีลักษณะพุงด้านล่างห้อย แต่พุงด้านบนเรียบ เกิดจากพฤติกรรมการชอบทานอาหารหวาน หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง แล้วไม่ออกกำลังกาย หรือนั่งทำงานทั้งวัน ไม่ค่อยขยับร่างกาย
  • พุงเครียด (Stressed Belly) หรือ “พุงเป็นชั้น” มีลักษณะพุงเป็นชั้นๆ หน้าท้องบวมอืด ยื่นเป็นชั้นออกมาระหว่างสะดือและกระบังลม เกิดจากสภาวะจิตใจที่มีความเครียด ทำให้พักผ่อนน้อย แล้วส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้การเผาผลาญไขมันลดลง
  • พุงคุณแม่ (Mommy Belly) มีลักษณะเป็นก้อนย้วยๆ หรือหน้าท้องที่ยื่นและหย่อนคล้อยลงมา มักพบในกลุ่มคุณแม่หลังคลอด เกิดจากมดลูกยังไม่เข้าที่ดี
  • กินเร็ว พฤติกรรมการกินอาหารเร็ว มีความเสี่ยงที่จะกินอาหารเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ
  • กินอาหารที่มีไขมันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นของทอด ของมัน หรือเนื้อสัตว์ที่ติดมันเยอะๆ รวมไปถึงขนมหวานที่มีไขมันทรานส์
  • กินอาหารที่มีน้ำตาลเยอะ เช่น ขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม หรืออาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว ขนมปัง อาหารเหล่านี้จะมีน้ำตาลอยู่เยอะเกินกว่าที่ร่างกายจะนำไปใช้พลังงานได้หมด
  • กินไปดูทีวีไป อาจจะทำให้เพลิดเพลินกับของกินจนลืมนึกถึงปริมาณน้ำตาลหรือไขมันที่จะได้รับ แล้วทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ เนื่องจากเครื่องดื่มประเภทนี้จะมีปริมาณของน้ำตาลสูง และขัดขวางการเผาผลาญของไขมัน จนในที่สุดทำให้ร่างกายสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องได้
  • ไม่ออกกำลังกาย หรือไม่พยายามขยับเขยื้อนร่างกายบ่อยๆ ทำให้ร่างกายไม่มีการเผาผลาญพลังงานเพียงพอ แล้วเกิดการสะสมไขมันส่วนเกินและพุงล้นขึ้นได้
  • กินดึก หรือนอนทันทีหลังกินอาหารเสร็จ โดยที่ไม่เว้นระยะห่างสักประมาณ 2-3 ชั่วโมง ทำให้มีโอกาสที่ร่างกายจะไม่เกิดการเผาผลาญไขมันส่วนเกินออกไป และยังกระตุ้นให้เป็นกรดไหลย้อนได้ด้วย
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับ จะส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนเลปตินและฮอร์โมนเกรลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความหิว เมื่อนอนไม่พอจึงทำให้น้ำหนักขึ้นตามมาได้ง่าย

กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดเกณฑ์การประเมินภาวะอ้วนลงพุง โดยใช้เกณฑ์การประเมิน 2 เกณฑ์ ได้แก่

  1. ค่าดัชนีมวลกาย (BMI)
    เป็นค่าดัชนีความสัมพันธ์ระหว่างส่วนสูงและน้ำหนักตัว โดยมีสูตรคำนวณ คือ
    “ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลัง 2”
    โดยสามารถแปลผลค่า BMI ซึ่งเป็นเกณฑ์สำหรับประชากรเอเชียตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก ได้ดังนี้
    • ค่า BMI ต่ำกว่า 18.5 แสดงถึง อยู่ในเกณฑ์น้ำหนักน้อย หรือผอม
    • ค่า BMI 18.5 – 22.90 แสดงถึง อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    • ค่า BMI 23 – 24.90 แสดงถึง น้ำหนักเกิน
    • ค่า BMI 25 – 29.90 แสดงถึง โรคอ้วนระดับที่ 1
    • ค่า BMI 30 ขึ้นไป แสดงถึง โรคอ้วนระดับที่ 2

    *หมายเหตุ การแปลผลค่า BMI ไม่เหมาะในการใช้ชี้วัดภาวะอ้วนลงพุงในกลุ่มนักกีฬาและนักเพาะกาย

  2. เส้นรอบเอว
    เป็นขนาดของเส้นรอบเอวที่วัดผ่านระดับสะดือ สามารถบ่งบอกถึงความเสี่ยงทางสุขภาพได้ โดยเกณฑ์เส้นรอบเอวที่เหมาะสม คือ ไม่ควรเกินส่วนสูง (เซนติเมตร) หารด้วย 2 หรือ
    • ผู้ชาย ไม่ควรเกิน 90 ซม. (36 นิ้ว)
    • ผู้หญิง ไม่ควรเกิน 80 ซม. (32 นิ้ว)

    หากมีเส้นรอบเอวเกินเกณฑ์ อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนลงพุง หรือโรคต่างๆ ตามมาได้

กินน้อยแต่มีหน้าท้อง หรือผอมแต่มีพุง อาจจัดอยู่ในกลุ่มของพุงกลม (Alcohol Belly) และพุงหมาน้อย หรือพุงป่องช่วงล่าง (Hormonal Belly) คือ น้ำหนักตัวไม่เกินค่าดัชนีมวลกาย (BMI) หรืออยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งมักเกิดจากการชอบทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลและไขมันสูง เช่น เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม น้ำหวาน และของทอดของมัน ทำให้เกิดไขมันสะสมที่ท้องได้ง่าย และดูมีพุงยื่นหรือพุงป่องออกมาอย่างเห็นได้ชัด

ลักษณะของพุงที่ลดได้ยาก คือ พุงกลม (Alcohol Belly) เนื่องจากเป็นพุงที่มีการสะสมของ*ไขมันใต้ผิวและไขมันในช่องท้องมาก ทำให้ลดได้ยาก และเป็นลักษณะพุงที่ทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพต่างๆ ตามมาได้ง่าย เช่น โรคความดังโลหิตสูง และโรคเบาหวาน

*โดยไขมันในร่างกายของเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  • ไขมันใต้ผิว (Subcutaneous Fat) เป็นไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังส่วนบน เหนือต่อจากกล้ามเนื้อ
    เกิดจากพลังงานส่วนเกินที่หลงเหลืออยู่จากการที่เรารับประทานอาหารเข้าไปเยอะ แล้วร่างกายไม่ได้เกิดการเผาผลาญไขมันออกไป
  • ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) อยู่ใต้อวัยวะภายในและกล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งจะอยู่ลึกจึงถูกกำจัดออกไปได้ยาก ทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าไขมันใต้ผิว เพราะอาจแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะภายในได้
  • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เน้นอาหารที่มีความหลากหลายครบ 5 หมู่
  • แนะนำให้รับประทานอาหารในสัดส่วน 2:1:1 คือ ผักหลากสี 2 ส่วน, เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ 1 ส่วน, ข้าวหรือแป้ง 1 ส่วน
  • ลดการบริโภคอาหารประเภทมันหรือทอด น้ำตาล และแป้ง เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด เบเกอรี่ โดนัท เนยขาว หรือครีมเทียม มันฝรั่งทอดกรอบ เป็นต้น
  • แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อย 8 แก้ว หรือประมาณ 1.5-2 ลิตรต่อวัน
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ทำจิตใจให้แจ่มใส พยายามลดความเครียด

โปรแกรม Scurve 1 Week / 1 Kilo จาก Doctorlife Clinic เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อดูแลน้ำหนัก พร้อมกับการมีสุขภาพดีไม่กลับมาอ้วนซ้ำ การรักษาดูแลโดยแพทย์ทุกเคส โดยการประเมินและวางแผนการรักษาให้เหมาะกับปัญหาเฉพาะบุคคล และมีทีมที่ปรึกษามืออาชีพโปรแกรม Optimized ที่จะช่วยแนะนำเรื่องโภชนาการที่ทำได้จริงให้กับทุกท่าน พร้อมด้วยการผสานการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยหลายอย่างในการรักษา ที่จะช่วยลดไขมันส่วนเกิน เพิ่มการเผาผลาญ ยกกระชับผิวหย่อยคล้อย ผิวเปลือกส้ม ลดเซลลูไลท์ ทำให้หุ่นดูเฟิร์มกระชับขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด

Freeze Shaping เป็นนวัตกรรม Cryolipolysis การสลายไขมันด้วยความเย็น โดยการทำงานจะส่งผ่านความเย็นในอุณหภูมิติดลบ (-5 ถึง -9 องศาเซลเซียส) ไปที่ชั้นไขมัน ทำให้เซลล์ไขมันถูกแช่แข็งหรือหยุดการทำงาน จากนั้นเซลล์ไขมันจะตาย แล้วถูกร่างกายกำจัดออกไปตามธรรมชาติ ทางระบบไหลเวียนน้ำเหลือง ทางปัสสาวะ และเหงื่อ เป็นต้น

  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสลายเซลล์ไขมันสะสมเฉพาะส่วน เช่น เอว หน้าท้อง สะโพก ต้นขา เป็นต้น
  • เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ยังมีไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดอยู่
  • ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องการพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
  • หลังการรักษาควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อร่างกาย วันละ 1.5-2 ลิตรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้การขับของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
  • ควรออกกำลังกายและควบคุมอาหารควบคู่ไปด้วย เพื่อที่เซลล์ไขมันที่ถูกขจัดไปแล้วจะไม่กลับมาสะสมอีก หรือกลับมาช้าลง
  • หลังการรักษาอาจจะมีรอยแดงจากความเย็น แต่จะหายไปเองภายใน 2-3 ชั่วโมง

การรับประทานอาหารช้าๆ จะช่วยให้ลดหรือควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น เพราะการที่เราค่อยๆ เคี้ยวจะช่วยกระตุ้นและส่งสัญญาณไปยังสมองส่วนกลางที่ทำหน้าที่ควบคุมความหิวและความอิ่ม ทำให้อิ่มเร็วขึ้น และได้รับปริมาณอาหารที่พอดี แต่การรับประทานอาหารแบบเร็ว เคี้ยวเร็ว หรือกลืนเร็ว จะทำให้เรากินอาหารในปริมาณที่มากกว่าปกติ

อีกทั้ง การทานเร็วยังทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานหนักและการเผาผลาญทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ในขณะเดียวกัน หากรับประทานอาหารช้าลงจะทำให้เราเคี้ยวอาหารได้ละเอียดขึ้น และช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นด้วย จึงช่วยลดพุง หรือลดการเกิดไขมันสะสมลงได้

ปัจจัยที่ส่งผลทำให้มีไขมันสะสมในร่างกาย หรือเกิดความอ้วนในผู้ชายและผู้หญิง ได้แก่

  • บริเวณที่ไขมันสะสม ผู้ชายมักจะมีไขมันสะสมบริเวณท้อง ส่วนผู้หญิงมักจะสะสมบริเวณสะโพก ต้นขา หรือบั้นท้าย
  • ฮอร์โมน ผู้ชายมีฮอร์โมนเพศชาย หรือเทสโทสเทอโรน(Testosterone) มากกว่าผู้หญิง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ดี ส่วนผู้หญิงจะมีฮอร์โมนเพศหญิง หรือเอสโตรเจน(Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการกระตุ้นเซลล์ไขมัน ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล และเปลี่ยนสารอาหารเป็นไขมันสะสมในร่างกาย และหากผู้หญิงรับประทายาคุมกำเนิดก็ส่งผลให้เอสโตรเจนมีปริมาณมากขึ้น แล้วยิ่งทำให้มีปริมาณเอสโตรเจนมาก ส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันในร่างกายมากขึ้นด้วย
  • มวลกล้ามเนื้อ ผู้ชายจะมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิงเกือบ 2 เท่า จึงทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานมากกว่า และมีความแข็งแรงมากกว่าผู้หญิง
  • มวลไขมัน ผู้ชายจะมีมวลไขมันน้อยกว่าผู้หญิง ประมาณ 15% ของร่างกาย ขณะที่ผู้หญิงมีมวลไขมันถึง 25%
  • พลังงานที่ร่างกายต้องการ พลังงานที่ผู้ชายต้องการใช้ต่อวัน คือ 1,800-2,000 kcal ส่วนผู้หญิงต้องการพลังงานเฉลี่ยอยู่ที่ 1,500-1,800 kcal (โดยจะแปรผันตามสัดส่วนไขมันส่วนเกินในร่างกายและกิจกรรมในแต่ละวัน) เนื่องจากผู้หญิงจะมีร่างกายที่เล็กกว่าจึงต้องการพลังงานที่น้อยกว่า

ดังนั้น ผู้หญิงจะอ้วนง่ายและลดไขมันได้ยากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีกล้ามน้อยกว่า จึงเผาผลาญได้น้อยกว่า และฮอร์โมนเพศหญิงจะเร่งการเปลี่ยนอาหารเป็นไขมันได้ง่ายกว่าผู้ชาย รวมทั้งผู้หญิงเป็นเพศที่ใช้ยาคุมกำเนิด และฮอร์โมนเอสโตรเจนในยาคุมกำเนิดจะไปเร่งให้ร่างกายสะสมไขมันและน้ำในปริมาณที่มากด้วย

  • การออกกำลังกายในตอนเช้า ประมาณ 07.00 – 08.30 น. มีข้อดีคือ ช่วยให้ร่างกายดึงเอาไขมันสะสมมาใช้ได้ดีกว่าการออกกำลังในตอนเย็น และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับคนที่กำลังคุมน้ำหนักและลดไขมันในร่างกาย
  • การออกกำลังกายในตอนเย็น ตั้งแต่ 15.00 – 21.00 น. เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เนื่องจากร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าตอนเช้า และจะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งการออกกำลังกายตอนเย็นจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (สารแห่งความสุข) ช่วยให้หลับสบายด้วย
  • ทั้งนี้ การออกกำลังกายทั้งสองช่วงเวลามีข้อดีที่แตกต่างกัน โดยแนะนำให้เลือกช่วงเวลาที่คุณรู้สึกพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ต้องเร่งรีบ ก็จะทำให้สามารถออกกำลังกายได้เต็มที่มากขึ้น
  • เน้นรับประทานโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น อกไก่ ไข่ขาว ปลา เนื้อหมูสันใน เป็นต้น
  • รับประทานผัก ธัญพืช ข้าวและแป้งไม่ขัดสี ที่มีใยอาหารสูงจะทำให้อิ่มนานขึ้น
  • รับประทานผลไม้สดชนิดหวานน้อย เช่น ฝรั่ง ชมพู่ แอปเปิล แคนตาลูป แก้วมังกร สาลี่ เป็นต้น
  • แนะนำให้ทานอาหารประเภทต้ม นึ่ง ตุ๋น ลวก แทนการทอด เนื่องจากของทอดจะใช้น้ำมันมาก แล้วทำให้ร่างกายได้รับไขมันเพิ่มโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง น้ำตาล และแป้ง
  • การลดพุงและลดน้ำหนักด้วยการทานอาหารเสริมลดน้ำหนัก อาจทำให้น้ำหนักลดได้จริงในช่วงแรก แต่บางรายอาจเกิดอาการแพ้ หรือเกิดอาการข้างเคียงบางอย่างที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย หรืออาจเกิด “โยโย่เอฟเฟกต์ (Yoyo Effect)” ได้
  • การเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ (Yoyo Effect) หลังหยุดกินอาหารเสริมลดน้ำหนัก เนื่องจากอาหารเสริมบางชนิดอาจออกฤทธิ์กดประสาท ทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มตลอดเวลา และระบบเผาผลาญชินกับปริมาณหรือแคลอรีที่ได้รับ จึงทำให้อัตราการเบิร์นลดลง เมื่อหยุดกินอาหารเสริมลดน้ำหนัก น้ำหนักก็จะดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะร่างกายเผาผลาญได้น้อยกว่าเดิม
  • วิธีที่จะช่วยลดพุง ลดน้ำหนักได้ดี คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมอาหารในแต่ละวัน และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยในรักษารูปร่างและส่งผลดีต่อสุขภาพระยะยาวได้

การดื่มน้ำเปล่า เพื่อช่วยลดพุงหรือลดน้ำหนักจะต้องกินในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย โดยสามารถคำนวณปริมาณน้ำที่เราควรกินวันละกี่ลิตร ได้ดังนี้

“น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) x 2.2 x 30 แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้มาหารด้วย 2 จะได้เป็นปริมาณน้ำที่เราควรดื่มใน 1 วัน (หน่วยมิลลิลิตร)”

โดยแนะนำการดื่มน้ำเปล่า ได้แก่

  • เป็นน้ำอุณหภูมิห้อง ไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป
  • สามารถปรับเปลี่ยนปริมาณน้ำให้เหมาะสมกับจำนวนที่ต้องดื่มต่อวันของแต่ละคน
  • ไม่ควรดื่มน้ำแบบรวดเดียวหมดแก้ว แต่ควรจิบเรื่อยๆ ตลอดวัน

นอกจากนี้ เราขอแนะนำช่วงเวลาในการแบ่งดื่มน้ำเพื่อลดพุง ดังนี้

  • หลังตื่นนอน ให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อกระตุ้นการขับถ่าย
  • ก่อนกินมื้อเช้า 15-20 นาที ให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อลดความอยากอาหาร
  • ระหว่างวัน ช่วง 09.00-13.00 น. ให้ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว เพื่อลดการสูญเสียน้ำ
  • ช่วงบ่ายและเย็น ให้ดื่มน้ำ 2 แก้ว เพื่อกระตุ้นระบบลำไส้
  • ช่วงเย็นและก่อนนอน ให้ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว เพื่อล้างของเสียที่อยู่ในลำไส้
  • โรคอ้วน
  • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคไขมันพอกตับ
  • โรคหัวใจ
  • โรคเบาหวาน
  • โรคข้อเข่าเสื่อม
  • ความดันโลหิตสูง
  • โรคกรดไหลย้อน
  • โรคนิ่วในถุงน้ำดี
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือมีปัญหาทางเดินหายใจ
  • โรคมะเร็งบางชนิด
รีจูรัน (REJURAN) คืออะไร?
รีจูรัน (REJURAN) คือ โปรแกรมฟื้นฟูผิวด้วยสารสกัด Polynucleotide (โพลีนิวคลีโอไทด์) หรือ PN จาก DNA ของปลาแซลมอนที่อยู่ในทะเลธรรมชาติ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ DNA มนุษย์ ทำให้เข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี โดยจะใช้ฉีดบนใบหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ (Rejuvenation) และซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ รวมทั้งช่วยเสริมความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ทำให้ให้ผิวอิ่มฟู ฉ่ำน้ำ ผิวเนียนใส รูขุมขนเล็กลง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย

รีจูรัน (REJURAN) ช่วยเรื่องสุขภาพผิวได้หลายอย่าง ดังนี้

  • ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
  • เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวดูอิ่มน้ำ
  • ลดความมันของผิวให้สมดุล
  • เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว รูขุมขุนกระชับขึ้น และลดเลือนริ้วรอย
  • เสริมเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและหนาแน่นขึ้น
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวขาดน้ำ ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  • ผู้ที่ต้องการมีผิวสุขภาพดี ฉ่ำวาวแบบผิวกระจก
  • ผู้ที่ต้องการผิวหน้าเต่งตึงและดูสดชื่น
  • ผู้ที่ต้องการซ่อมแซมผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
  • ผู้ที่ต้องการกระชับริ้วรอยและรูขมขน
  • ผู้ที่มีผิวบอบบางและแพ้ง่าย
  • ผู้ที่มีผิวมันและต้องการปรับสมดุลความมันบนใบหน้า

โปรแกรมฉีดรีจูรัน (REJURAN) สามารถฉีดได้หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นฉีดได้ทั่วใบหน้าและลำคอ หรือเน้นฉีดในจุดที่มีปัญหา เช่น หน้าผาก ใต้ตา แก้ม เพื่อช่วยให้ใบหน้าดูชุ่มชื้น ดูสดใส และทำให้ผิวบริเวณลำคอดูอิ่มฟูขึ้น

สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวที่เหมาะสำหรับการฉีดรีจูรัน (REJURAN) ได้แก่

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
  • ผู้ที่มีปัญหาความเสื่อมสภาพของผิว (Skin Aging) หรือมีริ้วรอยยับบริเวณใบหน้า
  • ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง

หากต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นหลังฉีดรีจูรัน (REJURAN) ควรทำ 4 ครั้งขึ้นไป โดยแต่ละครั้งให้ฉีดห่างกันทุก 2-3 สัปดาห์ จำนวน 4 ครั้ง จากนั้นเมื่อทำครบ 4 ครั้งแล้ว สามารถทำซ้ำได้ทุก 3 เดือน เพื่อคงสภาพผิวที่ดูสุขภาพดีให้นานขึ้น

โดยส่วนใหญ่ในการรักษาครั้งแรก จะเริ่มรู้สึกถึงผิวที่นุ่มชุ่มชื้นขึ้น และเมื่อรักษาอย่างต่อเนื่องผิวจะดีขึ้นเรื่อยๆ โดยการรักษาครั้งที่ 2 รูขุมขนกระชับขึ้น, การรักษาครั้งที่ 3 ผิวมีความแข็งแรง และการรักษาครั้งที่ 4 ผิวจะสุขภาพดีแข็งแรงขึ้นอย่างสมดุล ทั้งนี้ หลังฉีดรีจูรันมาแล้วจะเห็นผลไวหรือช้าจะขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาผิวของแต่ละบุคคล และการดูแลตัวเองหลังฉีดด้วยเช่นกัน

เมื่อทำการรักษาอย่างต่อเนื่องฉีดครบ 4 ครั้ง จะอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ซึ่งผลลัพธ์การรักษาก็จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเอง รวมทั้งการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลด้วย ดังนั้น ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

คุณสมบัติโดดเด่นของรีจูรัน (REJURAN) ได้แก่

  • ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูในระดับชั้นผิวหนังแท้อย่างอ่อนโยนและปลอดภัย
  • ช่วยคงความชุ่มชื้น และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวอิ่มฟู
  • ช่วยกระตุ้นผิวใส และดูเรียบเนียนมากขึ้น
  • ลดความมันบนใบหน้า ปรับสมดุลผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  • รูขุมขนกระชับ ริ้วรอยจางลง พร้อมผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
  • เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน

ให้งดการแต่งหน้าหลังฉีดรีจูรัน (REJURAN) มาแล้วประมาณ 24 ชั่วโมง เนื่องจากยังมีรูเข็มเล็กๆ ที่ยังปิดไม่สนิท ดังนั้น เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคเข้าสู่ผิวบริเวณที่มีรอยเข็ม จึงแนะนำให้งดการแต่งหน้าไปก่อน

ไม่แนะนำให้ฉีดในผู้ที่เป็นสิวอักเสบอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบรุนแรงมากขึ้น โดยควรทำการรักษาสิวอักเสบให้หายก่อน ทั้งนี้ ก่อนการฉีดรีจูรัน (REJURAN) ต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนทำการรักษาทุกครั้ง

หลังฉีดรีจูรัน (REJURAN) ไม่ควรให้ผิวโดนแสงแดดมากเกินไป เนื่องจากรีจูรันจะเข้าไปช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น แต่หากปล่อยให้ผิวโดนแดดเป็นเวลานาน UV ในแสงแดดจะไปทำลายเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูแห้งและหมองคล้ำลงได้ ดังนั้น แนะนำให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งและควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน

ห้ามฉีดผสมกับยาตัวอื่น กรณีฉีดหลังทำเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และกรณีฉีดยากลุ่ม PDRN, Hyaluronic Acid (HA), PN ให้เว้นระยะห่าง 1 เดือน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะทำหัตถการอะไรก็ตามต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนทำการรักษาทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล

  • งดทำในหญิงตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีประวัติการแพ้ปลาแซลมอนหรืออาหารทะเล
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่ม NSAIDs ยายับยั้งการรวมตัวของเกร็ดเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และยากดภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้, โรคแพ้ภูมิตัวเอง
  • ผู้ป่วยโรคเยื่อบุโพรงหัวใจอักเสบ, โรคมะเร็ง, โรคผิวหนัง
  • กรณีที่มีโรคประจำตัวให้ปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาทุกครั้ง
  • หลังทำ 6-8 ชั่วโมง ให้งดล้างหน้า
  • หลังทำ 24 ชั่วโมง ให้งดการแต่งหน้า
  • หลังทำ 48 ชั่วโมง ให้หลีกเลี่ยงการจับ นวด กด หรือสัมผัสผิวในบริเวณที่ฉีด
  • หลังทำ 3-7 วัน หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก และงดการเข้าซาวน่า
  • หลังทำ 2 สัปดาห์ งดการทำหัตถการอื่น ๆ เช่น โปรแกรมฉีดโบท็อกซ์, โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์, เลเซอร์
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อไม่ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น
  • ควรบำรุงผิวหน้าทามอยเจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ
  • ควรดื่มน้ำเปล่ามากๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทำให้ผิวชุ่มชื้นแลดูสุขภาพดี
  • รอยแดงจากเข็มจะค่อยๆ จางลงใน 5-7 วัน (แล้วแต่บุคคล)